วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โปเซ่งไต่เต่ ประวัติ

พระโป้เซ้งไต่เต่ , ป่าว เซิง ต้า ตี้ ( หงอจินหยิน )

ประวัติ

ป่าว เซิง ต้า ตี้ หรือ พระโป้เซ้งไต่เต่ หรือ ชาวบ้านทั่วไปเรียก หงอจินหยิน หงอจินกุน หรือ ตั่วเต๋ากง ท่านเป็นหมอ ที่มีชื่อเสียง ในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เดิมชื่อ หงอปุ่น บางตำนานเรียกว่า หงอทอ เมื่อร่ำเรียนชื่อว่า ฮั้วกี สมญานาม ฮุ๋นชง บางตำนานเรียก ฮุ๋นตัง ท่านกำเนิดที่หมู่บ้าน ป๋ายเก๋ว อำเภอ ต่งอาน มณฑลฮกเกี้ยน ในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ศักราชพระเจ้าซ่งไท้จง ไท้เป๋งเฮงก๊ก ปี 4 พุทธศักราช 1522 วันที่ 15 เดือน 3 จีน จนเมื่อศักราชพระเจ้าซ่งเหรินจง จิ่งโย่วปี 4 พุทธศักราช 1579 วันที่ 2 เดือน 5 จีน ท่านละสังขาร สิริอายุรวม 58 ปี

ต่อ มาสมัยศักราชพระเจ้าหมิงเฉิงจู่ หย่งเล่อปี 17 พุทธศักราช 1962 เมื่อท่านแสดงปาฏิหาริย์ แปลงร่างเป็น นักพรต รักษาบุ๋นฮองเฮาในสมัยนั้นให้ หายขาดจากอาการประชวร ท่านจึงได้รับการสถาปนาเป็น บ่าน สิ้ว บู่ เก็กโป้ เซ้ง ไต่ เต่ ซึ่งมีความหมายถึงจิตวิญญาณอมตะนิรันดร์นั่นเอง

เมื่อ สืบประวัติแล้วพบว่าพระโป้เซ้งไต่เต่โดยชาติกำเนิดของท่าน แท้จริงสืบเผ่าพันธุ์จากกษัตริย์ไท้โปว๋ แห่งราชวงศ์โจว ในยุคสมัยจ้านกว๋อ ยุคนั้นมีการรบพุ่งอยู่ตลอด บรรพบุรุษของท่านได้สร้างที่มั่นอาศัยอยู่ที่แคว้นอู๋ ปัจจุบันคือบริเวณอำเภอเจียงซู จนล่วงรุ่นที่ 31 จึงได้เปลี่ยนจากแซ่เดิมมาเป็นแซ่อู๋ หรือคำฮกเกี้ยนว่า หงอ จวบ จนปัจจุบัน ต่อมาลูกหลานแซ่หงอส่วนหนึ่งอพยพลงมาเรื่อย ส่วนหนึ่งมาตั้งรกรากที่บ้านป๋ายเก๋ว อำเภอต่งอาน เมืองจ่วนจิว มณฑลฮกเกี้ยน โดยประวัติบรรพบุรุษของท่านประกอบสัมมาชีพสุจริต มีคุณธรรมจนเป็นที่ทราบกันดี

บิดาของท่านชื่อ หงอทอง เป็นสุจริตชนอยู่ในศีลธรรม ส่วนมารดาท่านชื่อ อึ๋งหยกฮั้ว ซึ่งเป็นเทพเซียน หยกฮั้วไต่เซียน ได้กลับภพลงมาเกิด นับเป็นสตรีที่มีจิตใจงดงาม ทั้งคู่สามีภรรยาประกอบอาชีพประมงจับปลา อยู่ด้วยกันมานานแต่ก็ไม่มีบุตร จนคืนหนึ่งนางฝันว่านางได้กลืนเต่าสีขาวลงท้อง เมื่อตื่นขึ้นมา นางได้ปรึกษาเพื่อนบ้าน ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เต่าสีขาวเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่ดี มีสิริมงคล ต่อมาไม่นานนางบังเกิดตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นพระโป้เซ้งไต่เต่นั่นเองที่มาจุติในครรภ์ของนาง

สมัย ราชวงศ์ซ่งเหนือ ศักราชพระเจ้าซ่งไท้จง ไท้เป๋งเฮงก๊กปี 4 พุทธศักราช 1522 วันที่ 15 เดือน 3 จีน เมื่อมารดาตั้งครรภ์ครบ 10 เดือน เริ่มมีอาการเจ็บครรภ์นานประมาณ 10 วัน จนเมื่อคืนของวันที่ 14 จึงเจ็บครรภ์คลอด กล่าวว่าท่านคลอดยาก ใช้เวลานานมาก มารดาได้รับความทุกขเวทนา บิดาของท่าน กระสับกระส่าย สอบถามอาการ จากหมอทำคลอดทุกระยะ จนหมอทำคลอดกล่าวว่าอาการเป็นตายเท่าๆกัน

ต่อมามารดาท่านสลบไสลไป จึงปรากฏในฝันว่า มีชายชราผมสีขาวโพลน มีหนวดสีเงิน เรียวคิ้ว และแววตา เต็มไปด้วยความเมตตา กล่าวว่าท่านเป็น ติ๋วซ๊อเต๋าหยิน หรือ ไท้แปะกิมแช มาพร้อมกับ หล่ำเหลงซายเจี่ย และ พระปักเต้าแชกุน ชายชราเหล่านั้นได้ส่งทารกน้อยให้มารดา โดยวางไว้ในกระท่อมภายในบ้านของท่าน และกล่าวว่าเด็กน้อยคนนี้เป็น พระจี๋บี๋แช หรือจีมุ้ยแช ท่านลงมาจุติ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ให้หายจาก ทุกข์โศกโรคภัย กำจัดปีศาจที่ทำให้ผู้คนล้มเจ็บ

มารดา ของท่านได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอึ้ง สะดุ้งตื่นจากการหลับใหล พลันกำเนิดคลอดบุตรในเวลาเช้าตรู่พอดี เมื่อแสงอาทิตย์ ยามเช้าสาดส่อง แสงสีม่วงอบอวลไปทั่วห้องหับ กลิ่นหอมหวลฟุ้งกำจาย ปรากฏกาย พระโคยแช มาร่วมแสดงความยินดี ท้องฟ้ามีเมฆมงคล 5 สี ชาวบ้านต่างแปลกใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นวาระกำเนิด ผู้มีบุญญาธิการ ท่านจึงได้รับขนานนามว่า หงอปุ่น เนื่องจากท่านเป็นกายแปลงกำเนิดของ พระจี๋บี๋แช ภายหลัง มีผู้เรียกท่านว่า จี๋บี๋จินหยิน ด้วยอีกนามหนึ่ง

เนื่องจากท่านเป็น พระจี๋บี๋ แช ถือภพกลับชาติมาเกิด ท่านจึงมีบุคลิกภาพนุ่มลึก สันโดษ มีเหตุผล มีความรอบรู้ฉลาดเฉลียว เมื่อถึงวัยศึกษา ไม่ว่าจะเป็นหนังสือใดๆ เพียงอ่านครั้งเดียว ท่านก็สามารถเข้าใจ และท่องกลับมาได้ครบถ้วน ไม่ว่าเป็นบทกวี ศีลธรรม ภูมิศาสตร์ และกฎแห่งฟ้าดิน ท่านก็รู้กระจ่าง และ มีความมุ่งมั่นใฝ่รู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ

ประวัติ

เมื่อ ศักราชพระเจ้าซ่งไท้จง จื้อต้าวปีแรก พุทธศักราช 1538 ท่านหงอปุ่นอายุได้ 17 ปี ท่านต้องการศึกษา หาวิชาความรู้ จึงเที่ยวเสาะหาบรรดาเหล่าอาจารย์ จนเดินทางมาถึงภูเขา เบ๋งซัว พบวัดเก่าแก่ ท่านได้ฝากตัว เป็นศิษย์วัด เมื่ออยู่ที่นี่ท่านได้มีเวลาฝึกปรือคิดทบทวนวิชาต่างๆ ศึกษาข้อผิดพลาดจากอดีต ท่านเล่นแร่แปรธาตุ จนได้สูตรยาวิเศษ ณ จุดนี้ท่านจึงมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือชาวบ้าน โดยไม่สนใจเงินทอง ลาภยศสักการะ ซึ่งเปรียบเสมือนเมฆลอยที่ผ่านมาแล้วหายไป

ใน ปีเดียวกันนั้น ระหว่างที่ท่านหงอปุ่นกำลังตกปลาอยู่ริมฝั่งชายทะเล ปรากฏมีเรือแจวลำหนึ่งมุ่งตรงมายังตัวท่าน หน้าตาของชายผู้แจวเรือดังกล่าวนั้น ลักษณะไม่คุ้นตา ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป ชายคนดังกล่าว ได้ร้องเรียกท่าน ด้วยน้ำใสใจจริงให้ไปเที่ยวล่องเรือชม ทิวทัศน์บรรยากาศด้วยกัน ท่านหงอปุ่นไม่รีรอ จึงลงเรือไปด้วย เนื่องจาก มีความตั้งใจที่จะท่องไปในทะเลอยู่แล้ว เรือลำนั้นพาท่านมุ่งหน้าไปยังภูเขาสูงชันทราบภายหลังว่า กุนหลุนซัว แล้วชายแปลกหน้าก็บอกว่า พระซายอ่องโบ้ ทราบว่าท่านกำลังเดินทางเสาะหาอาจารย์ เพื่อร่ำเรียน นำวิชาไปช่วยเหลือชาวบ้าน ชายแปลกหน้ายินดีพาท่านไปหาพระซายอ่องโบ้

ท่าน หงอปุ่นจึงเดินตามชายแปลกหน้าคนดังกล่าว เดินทางขึ้นเขาไปด้วยความยากลำบาก ในที่สุด ก็มาถึง ยอดเขาสูงสุด ปรากฏถ้ำเซียนอยู่เบื้องหน้า ท่านจึงได้พบกับพระซายอ่องโบ้ พระซายอ่องโบ้ กล่าวว่าภพก่อนท่าน และ ท่านหงอปุ่นนั้น มีชะตาลิขิตร่วมกัน ชาตินี้เมื่อพบท่านหงอปุ่นแล้ว ท่านตั้งใจจะสอนวิชาเทพ เพื่อให้ท่านหงอปุ่น นำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปช่วยเหลือชาวบ้านในโลกมนุษย์ ท่านหงอปุ่นร่ำเรียนอยู่บนภูเขากุนหลุนซัวอยู่ 7 วัน 7 คืน จนสำเร็จวิชาจับปราบปีศาจ และพระซายอ่องโบ้ยังมอบตำรายารักษาผู้ป่วยให้กับท่านหงอปุ่น กำชับให้ท่านหงอปุ่น หมั่นศึกษาร่ำเรียนวิชา ให้ก้าวหน้า อย่าให้เสียเวลาจะทำให้ชาวบ้านต้องผิดหวัง

สมัย ซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเจินจง เสียนผิงปีแรก พุทธศักราช 1541 ท่านหงอปุ่นอายุ 20 ปี ท่านเริ่มเข้ารับราชการ จนเมื่อท่านอายุ 24 ปี จึงได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งฝ่ายสอนประวัติศาสตร์ราชวงศ์ ดำรงตำแหน่ง อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ท่านค้นพบว่างานลักษณะดังกล่าวไม่เหมาะสมกับท่าน เพราะท่านต้องการ รักษาไข้ ช่วยเหลือชาวบ้านทั่วไปมากกว่า ท่านจึงลาออกจากราชการ แล้วกลับมาปลีกวิเวกอยู่ที่บ้านเกิดของท่าน บนภูเขา ป๋ายเก๋วซัว หรือที่เรียกว่า บุ่นผ่อซัว สถานที่ที่ท่านพำนักเรียก เหล่งตี๋อ๋ำ ณ ที่นี่ท่านได้ค้นพบสูตรวิเศษ

สมัย ซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเจินจง ไต้จงเสียงฝู่ปีแรก พุทธศักราช 1551 เมื่อท่านหงอปุ่นอายุ 30 ปี ท่านได้ประดิษฐ์ เตาไฟสำหรับปรุงยา ซึ่งปัจจุบันยังคงปรากฏ และมีแผ่นศิลาจารึกคำไว้ ด้านข้างมีบ่อน้ำพุศักดิ๋สิทธิ์ เครื่องไม้เครื่องมือ เช่น ครกบดยา ท่านช่วยเหลือรักษาคนไข้ ณ สถานที่แห่งนั้น โดยท่านปรุงยา จ่ายยา และบางครั้ง ต้องใช้ยันต์ เพื่อขับไล่ภูติผีปีศาจ คุณความดีและความศักดิ์สิทธิ์ของท่านกล่าวว่าก้องไปทั่วทั้งสามโลก ภูติผีปีศาจ ล้วนยำเกรงในตัวท่าน แต่กระนั้นก็ตามท่านก็ยังคงศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ จนวิชาการ และ ความสามารถของท่าน ก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ตาม หมายเหตุบันทึกกล่าวว่า สมัยซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเจินจง ไต้จงเสียงฝู่ปี 7 พุทธศักราช 1557 เมื่อท่านหงอปุ่นอายุ 36 ปี ในระหว่างการเดินทางขึ้นเขา เพื่อเก็บตัวยาสมุนไพรนั้น บังเอิญสังเกตุเห็นกองกระดูกกองหนึ่ง เมื่อนำมา วางเรียง เป็นรูปร่างมนุษย์แล้ว ปรากฏว่าไม่ครบ โดยขาดกระดูกท่อนขาซ้าย ท่านจึงใช้กิ่งของต้นหลิวมาทดแทน วาดยันต์ร่ายมนตร์ กระดูกกองนั้นจึงกลับกลายเป็นเด็กน้อย เด็กน้อยร้องไห้ฟูมฟาย ร้องเรียกหาเจ้านาย ท่านหงอปุ่น จึงไต่ถาม จึงทราบความว่าเจ้านายของเด็กน้อยคนนี้ชื่อ กังตีเฮี๋ยน หรือเรียกว่า กังเซียนกวน

เมื่อ ท่านหงอปุ่นพาเด็กน้อยเข้าเมืองไปพบเจ้านายคนดังกล่าว เจ้านายก็แปลกใจและไม่เชื่อสายตา เพราะ เด็กน้อยผู้นี้ โดนเสือกัดตายแล้ว จะมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าได้อย่างไร จึงคลางแคลงใจ ได้ท้าทาย ท่านหงอปุ่นว่า ถ้าท่านหงอปุ่นมีวิชาทำให้คนตายกลับฟื้นได้จริง ท่านจงลองกลับทำให้เด็กน้อย กลายเป็นกองกระดูก อีกครา ได้หรือไม่ ท่านหงอปุ่นพยักหน้าแล้วก็ทำตามคำ ร่างของเด็กน้อยจึงกลับกลายเป็นกองกระดูกอีกครา

กังเซียนกวนเมื่อประจักษ์ด้วยสายตาตนเองแล้ว จึงร้องขอให้ท่านหงอปุ่นรับตนเองไว้เป็นศิษย์ โดยพร้อม จะร่วมเดินทางไปกับท่านหงอปุ่นทั่วทุกหนแห่ง ซ้ำยังขอให้ท่านร่ายมนตร์อีกครั้ง เพื่อให้กองกระดูกนั้น กลับกลายเป็นเด็กน้อยส่งสารอีกคราวหนึ่ง เมื่อกลับมายังศาลาว่าการเมือง จึงนำความดังกล่า วมาเล่า ให้ผู้ใหญ่คนหนึ่งฟัง ท่านชื่อ เตียวเซ่งเจี่ย เมื่อได้ฟังดังนั้น ท่านทั้งสองจึงตกลงใจสละลาภยศ ลาออก จากราชการ แล้วเดินทางมายังบ้านป๋ายเก๋ว ท่านหงอปุ่นจึงรับทั้งสองไว้เป็นศิษย์ อาศัยอยู่ในกระท่อม สั่งสอนวิชาต่างๆให้ทั้งสอง ทั้งสองจึงเรียกท่านหงอปุ่นว่า ไต่ซือ

ในระยะเวลาต่อมา ฝีมือทางด้านการรักษาของท่านหงอปุ่นเจริญงรุดหน้าไปมาก จนชาวบ้าน กล่าวว่า ไม่ว่า โรคภัยใดๆ จะรุนแรง เรื้อรัง แปลกประหลาด ยากต่อการรักษาเพียงใด เมื่อได้พบท่านหงอปุ่น ท่านก็ สามารถ รักษาให้ หายขาดได้ ดังนั้นทุกๆ วันจะมีชาวบ้านใกล้ไกลต่างเดินทางมารับการรักษากับท่านเป็น จำนวนมาก ซึ่งท่านก็รักษา ให้ด้วยจิตใจ ที่มากล้นด้วยคุณธรรม จนมีผู้กล่าวว่าท่านเป็น หมอฮูโต๋ กลับภพมาเกิด

http://www.phuketvariety.com/buddhism/po-seang-tai-tae/index-01.htm
ประวัติ

สมัย ซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเหรินจง เทียนเสิ้งปี 8 พุทธศักราช 1573 ท่านหงอปุ่นอายุ 52 ปี ขณะที่ท่านเดินทาง ท่านพบวัยรุ่น ถูกโจรลักทรัพย์ ศีรษะโดนของมีคมฟาดฟันบริเวณกะโหลก นอนสลบไม่ได้สติ อาการหนักปางตาย ท่านหงอปุ่นไม่รอช้า แบกชายผู้บาดเจ็บนั้นขึ้นหลัง แบกกลับมารักษาพยาบาลที่บ้านของท่าน จนหายรอดปลอดภัย ชาวบ้านยิ่งร่ำลือประจักษ์ในความสามารถของท่าน

ปกติ ท่านหงอปุ่นมักเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อไปรักษาช่วยเหลือชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากโรคภัยไข้เจ็บ ครั้งหนึ่งเมื่อท่านเดินทางเข้าเมืองหลวง เห็นประกาศของทางราชการ หาหมอผู้มีฝีมือ เพื่อรักษา ไทเฮา หรือ พระราชชชนนี ซึ่งป่วยด้วยโรคเรื้อรังบริเวณพระถันย์หรือเต้านม อันหมดปัญญาความสามารถ ของคณะแพทย์หลวง ผู้ดูแลรักษา ท่านจึงกล่าวว่าท่านรักษาได้ เมื่อท่านเข้าไปภายในพระราชวัง รับทราบอาการป่วยเบื้องต้นแล้ว ท่านจึงตรวจตราชีพจรโดยภายนอกห้องบรรทม

ท่าน รักษาพระราชชนนีด้วยการฝังเข็มบริเวณแผ่นหลัง และให้ยารับประทาน พระราชชนนีมีอาการดีขึ้น จนหายเป็นปกติ เป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระเจ้าซ่งเหรินจงมาก จึงได้มอบตำแหน่งหมอหลวง หงื่อสื่อไท้อี มุ่งหวัง ให้ท่านทำงานรับใช้พระองค์ในวัง ท่านหงอปุ่นตอบปฏิเสธ โดยกล่าวว่าลาภยศสักการะ ทรัพย์สินเงินทอง ท่านไม่ต้องการ ขอเพียงแต่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ท่านก็เพียงพอ ไม่ต้องการสิ่งใดอีก แล้วท่านก็อำลาจาก กลับมาพำนักบ้านป๋ายเก๋วอีกครั้งหนึ่ง

สมัย ซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเหรินจง หมิงเต้าปีแรก พุทธศักราช 1575 เมื่อท่านหงอปุ่นอายุ 54 ปี ครั้งนั้น ท้องที่ เมืองจ่วนจิว และเจี่ยงจิวประสบภัยแล้ง ข้าวในท้องทุ่งล้วนแห้งเฉาตายจนหมด ชาวบ้านประสบความอดอยาก ยากลำบาก ไร้ที่พึ่งพิง ท่านหงอปุ่นทำนายว่าอีกไม่เกิน 10 วันจะมีเรือลำใหญ่บรรทุกข้าวสารมาถึงในเมือง และปรากฏเป็นจริงดังทำนาย ชาวบ้านจึงมีข้าวปลาอาหาร ล้วนไม่อดตาย ทุกคนยินดีปรีดาทั่วหน้า

สมัย ซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเหรินจง หมิงเต้าปี 2 พุทธศักราช 1576 เมื่อท่านหงอปุ่นอายุ 55 ปี ท้องที่เมืองจ่วนจิว และเจี่ยงจิว ประสบภัยโรคร้ายระบาดหนัก ชาวบ้านล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ท่านหงอปุ่นพร้อมด้วยศิษย์ท่านทั้งสองคือ กังเซียนกวน และ เตียวเซ่งเจี่ยได้ระดมสรรพกำลังช่วยเหลือรักษาชาวบ้านอย่าง เต็มที่ ไม่ลดละ และไม่เหน็ดเหนื่อย ย่อท้อ ในช่วงนั้นกล่าวว่าท่านช่วยเหลือชาวบ้านได้อย่างมากมายนับไม่ถ้วน

เมื่อ ครั้งท่านหงอปุ่นกลับมายังบ้านป๋ายเก๋ว ท่านเตรียมขึ้นเขาบุ่นผ่อซัวไปขุดหาสมุนไพร มีชาวบ้านบอกข่าวว่า มีผู้พบเห็น เสือหิวอยู่บนภูเขา ขอให้ท่านได้อย่าขึ้นไป แต่ท่านไม่กลัวและไม่ย่อท้อ เมื่อท่านขึ้นเขา ไปขุดหาสมุนไพร เสร็จแล้ว ขณะที่ท่านลงจากภูเขา ท่านเจอเสือตัวใหญ่อยู่ที่บริเวณผาหิน คำรามร้อง แววตาดุร้าย ในขณะที่ เสืออ้าปากร้อง ท่านหงอปุ่นสังเกตุเห็นศีรษะมนุษย์ติดอยู่ในลำคอของเสือ ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้กับเสือมาก ท่านหงอปุ่น จึงใช้ยาละลายกระดูก เสือตัวนั้นหายเจ็บปวดและซาบซึ้งในพระคุณ จึงเชื่อฟังท่าน เสือตัวนี้ติดตามท่าน ไปยัง เหล่งตี๋อ๋ำ อยู่กับท่าน ต่อมาเมื่อท่านหงอปุ่นสำเร็จเซียน เสือตัวนี้ก็ขึ้นไปบริเวณริมหน้าผา ไม่กินอาหาร และขยับตัว ละสังขารสำเร็จเซียนตามไปด้วย กลายเป็น หอเอี๋ย หรือ เฮ็กห่อเจียงกุน เฝ้าประตูศาลของท่าน

ด้วยความที่ท่านมีกิตติศัพท์ร่ำลือในความสามารถ รักษาทุกโรคให้หายขาดได้ ได้รับขนานนามหมอเทวดา จนเป็นที่เลื่องลือทั้งสามโลก ครั้งหนึ่งมังกรตัวหนึ่งเกิดมีโรคทางสายตา เจ็บปวดตา ได้แปลงกาย เป็นชายชรา มาให้ท่านรักษา เมื่อท่านหงอปุ่นเห็นชายชราก็ทราบโดยทันทีว่าไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เป็นมังกร ท่านก็ให้การรักษา โดยจัดยาให้มังกรดื่มกิน ความเจ็บปวดทางตาของมังกรตัวนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง มังกรซาบซึ้ง ในพระคุณท่านมาก ต่อมาจึงยอมเป็นเก้าอี้มังกรประจำตัวท่านหงอปุ่น

สมัย ซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเหรินจง จิ่งโย่วปี 3 พุทธศักราช ปี 1579 เมื่อท่านหงอปุ่นอายุได้ 58 ปี ท่านได้เดินทาง ขึ้นเขาบุ่นผ่อซัว เพื่อขึ้นไปเก็บสมุนไพรชื่อ กิมปุดหวน การเดินทางเต็มไปด้วยอันตราย ท่านได้ประสบอุบัติเหตุตกเขา ท่านได้รับบาดเจ็บ แต่ท่านไม่ได้ใช้วิชาของท่านเพื่อรักษาตนเอง ชาวบ้านผู้ประสบเหตุ จึงแบกท่านนำกลับ มาส่งที่บ้านป๋ายเก๋ว

ท่านประชุมลูกศิษย์และเครือญาติ กล่าวอำลาฝากฝังบิดาของท่าน หงอทอง มารดาของท่าน อึ๋งหยกฮั้ว น้องสาวของท่าน หงอเบ๋งหม่า น้องเขยของท่าน อ๋องเซี๊ยหยิน ศิษย์ของท่านทั้งสอง กังเซียนกวน และ เตียวเซ่งเจี่ย พร้อมชาวบ้าน เมื่อท่านกล่าวเสร็จ ท่านละสังขาร กล่าวว่าท่านขึ้นขี่นกกระสาสีขาวบินลับหายไปในท้องฟ้า สำเร็จธรรมเต๋า กำเนิดเซียน ทุกคนต่างซาบซึ้งสดุดีท่าน ท่านสำเร็จธรรมเต๋าเมื่อวันที่ 2 เดือน 5 จีนช่วงเวลากลางวัน

หลังจาก ท่านได้ลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว ผู้คนต่างร่ำลือถึงคุณความดีของท่าน ต่างอำลาอาลัย เปรียบประหนึ่ง ญาติผู้ใหญ่ ในตระกูลของตนล้มหายตายจาก ชาวบ้านเรียกท่านว่า อีเหลงจินหยิน หงอจินหยิน ชาวบ้าน ร่วมกันสร้างศาลแรก สร้างรูปเคารพของท่านสถิตย์ไว้ เรียก เหล่งจิวอาม กล่าวว่าดวงวิญญาณ ของท่านยังปกปัก รักษาเมือง คุ้มครองชาวบ้านให้แคล้วคลาดจากโรคภัย ในสมัยซ่งล่วงถึง สมัยหมิง ต่างวาระ ได้แต่งตั้งยศ เชิดชูท่านหลายครั้ง เช่น เองหุ้ยโห เจียอิ้วกง ตั่วเต๋าจินหยิน เบ่วเต๋าจินกุน โป้เซ้งไต่เต่ เป็นต้น

กล่าวว่าดวงวิญญาณของท่านศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มครองเป็นที่พึ่งพิงของชาวบ้านได้เสมอ ครั้งหนึ่งมีกลุ่มโจร มาปล้นสดมภ์ภายในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างหวาดกลัวไม่มีที่พึ่งพิง จึงจุดธูปบอกกล่าวท่าน อีกไม่กี่วัน ทางราชการ ก็ส่งกองกำลังเข้ามาปราบปราม จับหัวหน้าโจรประหารชีวิต ลูกน้องจึงแตกกระสานซ่านเซ็น ชาวบ้าน จึงอยู่ดีมีสุขอีกครั้งหนึ่ง ชาวบ้านต่างเชื่อว่าเป็นด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั่นเอง

http://www.phuketvariety.com/buddhism/po-seang-tai-tae/index-02.htm
ประวัติ

สมัยซ่งใต้ พระเจ้าซ่งกาวจง ในสมัยที่ยังเป็น ไท้จือกังอ๋อง นั้น กองทัพซ่งประสบความพ่ายแพ้ต่อกองทัพกิมก๊ก ท่านไท้จือกังอ๋องจึงถูกเชิญตัวมาเป็นตัวประกันที่เมืองกิม วันหนึ่งท่านคิดหลบหนีกลับ แต่ท่าน ไม่มีกองกำลังทหาร อยู่ในมือเลย ท่านแวะไปที่ศาลแห่งหนึ่งบอกกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงประทานม้าควบมาให้

เมื่อ ท่านควบม้าถึงแม่น้ำ ปรากฏกองทัพกิมก๊กตามมาทัน ท่านจึงบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง พลันปรากฏ เมฆครึ้มหมอกควันปกคลุม กองทัพทหารม้าไม่ทราบมาจากแหล่งใด ออกมาต้านทานขับไล่กองกำลังทหารกิมก๊ก ท่านเห็นธงประจำกองทัพนามว่า หงอจินหยิน ท่านจึงรอดพ้นจากกองทัพกิมก๊ก และสามารถกลับมา ตั้งหลักสร้างบ้านสร้างเมือง จากนั้นท่านจึงสืบค้นว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวที่ช่วยเหลือและคุ้มครอง ท่านคือใคร อยู่แห่งหนใด จนมาพบว่าเป็นพระหงอจินหยินแห่งบ้านป๋ายเก๋วนั่นเอง

สมัยซ่งใต้ พระเจ้าซ่งหนิงจง คายสี่ปี 3 พุทธศักราช 1750 บ้านเมืองประสบภัยแล้ง ชาวเมืองจ่วนจิวจึงรวมตัวกันที่ศาล ฉือแจ่เก๋ง เพื่อขอให้ท่านช่วยเหลือให้เกิดฝนตก หลังจากนั้นจึงบังเกิดฝนตกใหญ่ ชาวบ้านร่ำลือถึงความศักด์สิทธิ์ จนทราบถึงพระเจ้าซ่งหนิงจง ได้ประกาศยศให้ท่านเป็น เองหุ้ยโห

สมัยหมิง พระเจ้าหมิงเฉิงจู่ หย่งเล่อปี 17 พุทธศักราช 1962 บุ๋นฮองเฮา ประสบ ความเจ็บป่วย ด้วยโรคพระถันย์ หรือเต้านม ไม่มีหมอหลวงผู้ใดรักษาให้หายได้ ในคราวนั้นท่านแปลงกายเป็นเต๋าซือ มารักษาฮองเฮา พระเจ้าหมิงเฉิงจู่ คลางแคลงใจ ต้องการทดสอบว่าท่านสามารถหรือไม่ โดยนำเส้นไหม แตะชีพจร สำหรับวินิจฉัยนอกห้องบรรทม ไปวางบนหัวเตียง ไม้ไผ่ กำไล และขาแมว ท่านหงอปุ่น บอกได้ถูกหมด ว่าไม่ใช่ชีพจรมนุษย์ จนพระองค์ยอมรับ และอนุญาตให้รักษาบุ๋นฮองเฮา โดยใช้เวลารักษาทั้งสิ้น 3 วัน บุ๋นฮองเฮาจึงหายประชวร

พระเจ้าหมิงเฉิงจู่ซาบซึ้งความสามารถ จึงยกทรัพย์สินเงินทองให้ แต่ท่านไม่รับ กล่าวบอกให้ทราบว่า ท่านเป็นหงอจินหยิน พระเจ้าหมิงเฉิงจู่จึงพระราชทานหมวก ชิดแช และถอดเสื้อมังกร พร้อมเข็มขัด ของกษัตริย์พระราชทาน แล้วท่านก็ขึ้นนกกระสาขาวบินขึ้นลับขอบฟ้าไป พระเจ้าหมิงเฉิงจู่ ซาบซึ้งใน คุณความดีของท่านมาก ภายหลังจึงแต่งตั้งยศท่านเป็น อุนจู่โหเทียนอีเหล็งเบ่วหุ้ยจินกุน บ่านสิ้วบู่เก็กโป้เซ้งไต่เต่ ซึ่งเป็นที่มาของคำย่อ พระโป้เซ้งไต่เต่ คำ ไทยคือมหาราชผู้คุ้มครองชีวิต มาตราบจนปัจจุบัน และบุ๋นฮองเฮา ยังได้ให้ช่างแกะสลักหินเป็นรูปสิงโต ให้ประจำไว้ที่ศาลฉือแจ่เหล่งเก๋งที่บ้านป๋ายเก๋ว ชาวบ้านเรียกสิงโตตัวนี้ว่าว่า ก๊กโบ่ซือ

สมัยหมิง พระเจ้าหมิงเหรินจง หงซีปีแรก พุทธศักราช 1968 ท่านได้รับการแต่งตั้งยศเป็น อุนจู่โหเทียนกิมก๊วดหงื่อสื่อ ฉือแจ่อีเหล็งเบ่วหุ้ยจินกุน บ่านสิ้วบู่เก็กโป้เซ้งไต่เต่ พร้อมมอบเสื้อคลุมมังกรให้กับท่านที่ศาลบ้านป๋ายเก๋วอีกด้วย

นอก จากหมวกชิดแชที่ท่านได้รับพระราชทานนั้น ยังมีตำนานเล่าขานในท้องถิ่นว่า เดิมท่านมีดาบชิดแชเกี่ยมด้วย ภายหลัง พระเฮี่ยนเทียนส่งเต่ ได้ขอยืมไป โดยนำ 36 ขุนพลมาไว้กับท่านเป็นข้อแลกเปลี่ยน ต่อมา ไม่ได้คืนดาบชิดแชเกี่ยมกลับมา ทั้ง 36 ขุนพลจึงยังคงอยู่กับท่านตลอดมา ดังนี้เป็นเพียงตำนาน ความเชื่อของชาวบ้านซึ่งไม่มีข้อพิสูจน์

สำหรับ 36 ขุนพล มีรายนามดังต่อไปนี้

อุนหง่วนโซย กังหง่วนโซย หงักหง่วนโซย เตี่ยวหง่วนโซย อุนหง่วนโซย หม่าหง่วนโซย (แบ่เหล็งเก๋ง) เต็งหง่วนโซย ซินหง่วนโซย อ๋องซุนหง่วนโซย โกหง่วนโซย หลี่หง่วนโซย กี๋จุ่ยจินหยิน เหลียนเซ่งเจี่ย เซียวเซ่งเจี่ย เตียวเซ่งเจี่ย ชกไต่เจียง หลา (บัก) ไต่เจียง หลิว (กา) ไต่เจียง โส่ไต่เจียง ค๊วนเซียนกอ โหเซียนกอ หลี่เซียนกอ กี่เซียนกอ (กล่าวว่าเป็นบุตรสาว 4 ท่าน) ทุนเจ็งไต่เจียง เจี่ยะกุ่ยไต่เจียง กังเซียนกวน อึ๋งเซียนกวน หง่อเหล็งเกง หงอไต่เจียง กิมเซียะหยิน ตึ๋งเซียะหยิน อี๋ซัวไต่เจียง โต๊ห่ายไต่เจียง แบ่กะโล๋ ห่อกะโล๋

สำคัญมี 2 ท่าน คือ กังเซียนกวน และ เตียวเซ่งเจี่ย ซึ่งเป็นศิษย์ท่านทั้งสองนั่นเอง สำหรับท่านเตียวเซ่งเจี่ย เมื่อได้สำเร็จเซียนแล้ว มีนามว่า โปยเทียนไต่เซ่ง โดยศาลที่บูชาท่านเป็นการเฉพาะเรียก หยกจินฮวดอี้ ส่วนบิดาของท่านหรือหงอทอง ปรากฏนามต่อมาว่า เฮียบเส็งหง่วนกุน

หมายเหตุ ในบางตำนานรายชื่อทั้ง 36 ขุนพลอาจต่างออกไป เนื่องจาก มีการเพิ่มเติมขุนพลบางท่าน จากพงศาวดารห้องสิน

ยังมีตำนานชาวบ้านระหว่างท่านตั่วเต๋ากงกับพระม๋าจ้อโป๋ว่า เมื่อครั้งต้องลงมายังโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ทำให้ท่านทั้งสองต้องเจอกันบ่อยๆ จึงเกิดการเขม่นประลองกำลังกันอยู่บ่อยครั้ง จนเทพเบื้องบนต้องลงมาหย่าศึก แต่กระนั้นก็ตาม ยังคงมีปรากฏการณ์แสดงอิทธิฤทธิ์ กลั่นแกล้งกันไปมา ทุกวันคล้ายวันเกิดของท่านตั่วเต๋ากงในวันที่ 15 เดือน 3 จีน พระม๋าจ้อโป๋แสดงอิทธิฤทธิ์ให้มีลมพายุพัด กล่าวว่าให้หมวกชิดแชของท่านตั่วเต๋ากงเปิดปลิว

เช่น เดียวกัน ทุกวันคล้ายวันเกิดของพระม๋าจ้อโป๋ ในวันที่ 23 เดือน 3 จีน ท่านตั่วเต๋ากงก็บันดาลให้เกิดฝนตก กล่าวว่าให้ล้างเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าของพระม๋าจ้อโป๋ให้เกลี้ยงเช่น เดียวกัน แต่ก็มีตำนานในทางกลับกันว่า เป็นเพราะพระม๋าจ้อโป๋ไม่รับคำสู่ขอจากท่านตั่วเต๋ากง ท่านตั่วเต๋ากงจึงกลั่นแกล้ง แล้วพระม๋าจ้อโป๋จึงเอาคืนบ้าง เหล่านี้เป็นเพียงตำนานท้องถิ่นที่เกิดจากชาวบ้านสังเกตุปรากฏการณ์ธรรมชาติ จนมีผู้กล่าวคำว่า ตั่วเต๋ากงกั้ว ม๋าจ้อโป๋ห่อ

ใน ช่วงปลายราชวงศ์ซ่งเหนือ หลังจากท่านหงอปุ่นสำเร็จเต๋าขึ้นสวรรค์นั้น ชาวบ้านต่างอาลัยและซาบซึ้งในความดี จึงร่วมกันสร้างศาลที่บ้านเกิดของท่าน เรียก เหล่งจิวอาม สร้างรูปเคารพบูชาท่าน ต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ พระเจ้าซ่งกาวจง จ้าวซิ่งปี 20 พุทธศักราช 1693 จึงได้ปฏิสังขรณ์ศาลดังกล่าว สร้างเป็นศาลคล้ายพระราชวังเรียก ฉือแจ่เหล่งเก๋ง มาจนปัจจุบัน ต่อมาชาวบ้านทั่วทุกมณฑล ตั้งแต่แม่น้ำฮวงโห ลงมาถึงเมืองกวางตุ้ง และกวางสี ต่างสร้างศาล เพื่อสักการบูชาท่านจนทั่ว

http://www.phuketvariety.com/buddhism/po-seang-tai-tae/index-03.htm

1 ความคิดเห็น: