วันจันทร์ที่ 19 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ประวัติเจ้าพ่อกวนอู

ประวัติ
กวนอูเดิมเป็นชาวอำเภอไก่เหลียงมีชื่อเต็มว่าอำเภอฮอตั๋งไกเหลียง ดินแดนฮอตั๋ง ชื่อเดิมคือเผิงเสียน ชื่อรองโซ่วฉาง[4] รูปร่างสูงใหญ่ สง่างามน่าเกรงขามแก่ผู้พบเห็น มีกำเนิดในครอบครัวนักปราชญ์ เชี่ยวชาญด้านคัมภีร์พิชัยสงครามและคัมภีร์หลี่ซื่อชุนชิว[5] เป็นนักโทษต้องคดีอาญาแผ่นดิน หลบหนีการจับกุมเร่รอนไปทั่วประเทศจีนเป็นเวลานานถึง 6 ปี[6]จนกระทั่งถึงด่านถงกวน นายด่านพบพิรุธจึงสอบถามชื่อแซ่ กวนอูตกใจจึงชี้ไปที่ชื่อด่านคือ "ถงกวน" ทำให้นายด่านเข้าใจว่ากวนอูนั้นแซ่กวน หลังจากนั้นเป็นต้นมากวนอูจึงเปลี่ยนจากชื่อเดิมคือเผิงเสียนเป็นกวนอู[4]

ต่อมาได้พบเล่าปี่และเตียวหุยที่ตุ้นก้วนและร่วมสาบานเป็นพี่น้องกัน กวนอูได้ร่วมรบกับเล่าปี่ปราบโจรโพกผ้าเหลืองจนราบคาบในสมัยพระเจ้าเลนเต้ แต่เล่าปี่กลับได้เพียงตำแหน่งนายอำเภออันห้อก้วน ภายหลังต๊กอิ้วซึ่งเป็นเจ้าเมืองออกตรวจราชการที่อำเภออันห้อก้วน เล่าปี่ไม่มีสินบนมอบให้จึงถูกใส่ความด้วยการเขียนฎีกาถวายพระเจ้าเลนเต้ในข้อหากบฏ เตียวหุยโกรธจัดถึงกับพลั้งมือเฆี่ยนตีต๊กอิ้วจนเกือบเสียชีวิต ทำให้เล่าปี่ต้องหลบหนีจากการจับกุมของทางการพร้อมกับกวนอูและเตียวหุย

วีรกรรมของกวนอูนั้นมีมากมาย เริ่มจากการร่วมปราบปรามโจรโพกผ้าเหลืองร่วมกับทหารหลวงของพระเจ้าเลนเต้ สังหารฮัวหยงแม่ทัพของตั๋งโต๊ะโดยที่สุราคาราวะจากโจโฉยังอุ่น ๆ ปราบงันเหลียงและบุนทิวสองทหารเอกของอ้วนเสี้ยว บุกเดี่ยวพันลี้หนีจากโจโฉเพื่อหวนกลับคืนสู่เล่าปี่ด้วยคำสัตย์สาบานในสวนท้อ ทั้งที่โจโฉพยายามทุกวิถีทางเพื่อมัดใจกวนอูแต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ ฝ่า 5 ด่าน สังหาร 6 ขุนพลของโจโฉ และในคราวศึกเซ็กเพ็กโจโฉแตกทัพหนีไปตามเส้นทางฮัวหยง กวนอูได้รับมอบหมายจากขงเบ้งให้นำกำลังทหารมาดักรอจับกุม โจโฉว่ากล่าวตักเตือนให้กวนอูระลึกถึงบุญคุณครั้งก่อนจนกวนอูใจอ่อนยอมปล่อยโจโฉหลุดรอดไป โดยยอมรับโทษประหารตามที่ได้ทำทัณฑ์บนไว้กับขงเบ้ง

เมื่อเล่าปี่สถาปนาตนเองเป็นจักรพรรดิครองเสฉวน ได้ให้กวนอูไปกินตำแหน่งเป็นเจ้าเมืองเกงจิ๋วและแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในห้าทหารเสือของเล่าปี่ ภายหลังซุนกวนมอบหมายให้โลซกเจรจาขอเกงจิ๋วคืน กวนอูบุกเดี่ยวข้ามฟากไปกังตั๋งเพื่อกินโต๊ะตามคำเชิญโดยที่โลซกและทหารที่แอบซุ่มรอบ ๆ บริเวณไม่สามารถทำอันตรายได้ ภายหลังซุนกวนเป็นพันธมิตรกับโจโฉนำทัพโจมตีเกงจิ๋ว กวนอูพลาดท่าเสียทีแก่ลิบองและลกซุนสองแม่ทัพแห่งกังตั๋งจนเสียเกงจิ๋ว พยายามตีฝ่ากำลังทหารที่ล้อมเมืองเป๊กเสียเพื่อชิงเกงจิ๋วกลับคืนแต่โดนกลอุบายจับตัวไปได้ ซุนกวนพยายามเกลี้ยกล่อมให้กวนอูยอมจำนนและสวามิภักดิ์แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกประหารพร้อมกับกวนเป๋งบุตรบุญธรรมในเดือนสิบสองของปี พ.ศ. 762

ศีรษะของกวนอูถูกซุนกวนส่งไปมอบให้แก่โจโฉที่ฮูโต๋ ซึ่งเป็นกลอุบายที่หมายจะหลอกให้เล่าปี่หลงเชื่อว่าโจโฉเป็นผู้สั่งประหารกวนอู และนำกำลังทหารไปทำศึกสงครามกับโจโฉแทน แต่โจโฉเท่าทันกลอุบายของซุนกวนจึงจัดงานศพให้แก่กวนอูอย่างสมเกียรติ นำไม้หอมมาต่อเป็นหีบใส่ศีรษะกวนอู แต่งเครื่องเซ่นไหว้ตามบรรดาศักดิ์ขุนนางผู้ใหญ่รวมทั้งสั่งการให้ทหารทั้งหมดแต่งกายขาวไว้ทุกข์ให้แก่กวนอู ยกย่องให้เป็นอ๋องแห่งเกงจิ๋วและจารึกอักษรที่หลุมฝังศพว่า "ที่ฝังศพเจ้าเมืองเกงจิ๋ว"[7] ศีรษะของกวนอูถูกฝังไว้ ณ ประตูเมืองลกเอี๋ยงหรือลัวหยางทางด้านทิศใต้

[แก้] ลักษณะนิสัย
จากวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้บรรยายลักษณะนิสัยของกวนอูว่าเป็นผู้ที่มีนิสัยห้าวหาญ กิริยาท่าทางองอาจน่าเกรงขามแก่ผู้พบเห็น กตัญญูรู้คุณคนและซื่อสัตย์เป็นเลิศ นิสัยรักความยุติธรรม มีคุณธรรมไม่รังแกผู้อ่อนแอกว่าและผู้ไร้ทางสู้ ถือสัตย์ไม่ชอบการกดขี่ข่มเหง หยิ่งทรนงในศักดิ์ศรีและเชื่อมั่นในตนเอง ฝีมือเชิงยุทธ์เก่งกาจเนื่องจากชำนาญตำราพิชัยสงครามและคัมภีร์ชุนชิวแต่เด็ก[8] ความองอาจกล้าหาญไม่กลัวตายบวกกับฝีมือในเชิงยุทธ์ของกวนอู ความซื่อสัตย์จงรักภักดีสละแล้วซึ่งชีวิตต่อเล่าปี่รวมทั้งลักษณะที่สมเป็นชายชาติทหาร ทำให้โจโฉและซุนกวนต้องการตัวกวนอูเป็นอย่างมาก

[แก้] ความสัตย์ซื่อ
เมื่อคราวที่เล่าปี่ทำศึกแพ้โจโฉที่เมืองชีจิ๋วแตกแยกพลัดพรากจากกวนอูและเตียวหุย เล่าปี่หนีไปอยู่กับอ้วนเสี้ยว เตียวหุยแตกไปแย่งชิงเมืองเล็ก ๆ และตั้งซุ่มเป็นกองโจร กวนอูถูกโจโฉวางกลอุบายล้อมจับตัวได้ที่เมืองแห้ฝือ และมอบหมายให้เตียวเลี้ยวมาเจรจาเกลี้ยกล่อม กวนอูขอสัญญาสามข้อจากโจโฉคือ "เราจะขอเป็นข้าพระเจ้าเหี้ยนเต้ประการหนึ่ง เราจะขอปฏิบัติพี่สะใภ้ทั้งสอง แลอย่าให้ผู้ใดเข้าออกกล้ำกรายเข้าถึงประตูที่อยู่ได้ จะขอเอาเบี้ยหวัดของเล่าปี่ซึ่งเคยได้รับพระราชทานนั้น มาให้แก่พี่สะใภ้เราทั้งสองประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งถ้าเรารู้ว่าเล่าปี่อยู่แห่งใดตำบลใด ถึงมาตรว่าเรามิได้ลามหาอุปราชเราก็จะไปหาเล่าปี่ แม้มหาอุปราชจะห้ามเราก็ไม่ฟัง"[9] โจโฉตกลงตามสัญญาสามข้อจึงได้กวนอูไว้ตามต้องการ

โจโฉนำกวนอูไปถวายตัวต่อพระเจ้าเหี้ยนเต้ พยายามเลี้ยงดูกวนอูอย่างดีเพื่อให้ลืมคุณของเล่าปี่แต่หนหลัง ให้เครื่องเงินเครื่องทองแลแพรอย่างดีแก่แก่กวนอูเพื่อหวังเอาชนะใจ สามวันแต่งโต๊ะไปให้ครั้งหนึ่ง ห้าวันครั้งหนึ่ง จัดหญิงสาวรูปงามสิบคนให้ไปปฏิบัติหวังผูกน้ำใจกวนอูให้หลง แต่กวนอูกลับไม่สนใจต่อทรัพย์สินและหญิงงามที่โจโฉมอบให้ ใจมุ่งหวังแต่เพียงคิดหาทางกลับคืนไปหาเล่าปี่ โจโฉเห็นเสื้อผ้ากวนอูเก่าและขาดจึงมอบเสื้อใหม่ให้ กวนอูจึงนำเสื้อเก่าสวมทับเสื้อใหม่ด้วยเหตุผลที่ว่า "เสื้อเก่านี้ของเล่าปี่ให้ บัดนี้เล่าปี่จะไปอยู่ที่ใดมิได้แจ้ง ข้าพเจ้าจึงเอาเสื้อผืนนี้ใส่ชั้นนอก หวังจะดูต่างหน้าเล่าปี่ ครั้นจะเอาเสื้อใหม่นั้นใส่ชั้นนอก คนทั้งปวงจะครหานินทาว่าได้ใหม่แล้วลืมเก่า"[10]

โจโฉเห็นม้าที่กวนอูขี่ผ่ายผอมเพราะทานน้ำหนักกวนอูไม่ไหวจึงมอบม้าเซ็กเธาว์ของลิโป้ให้ สร้างความดีใจให้กวนอูเป็นอย่างยิ่งจนถึงกับคุกเข่าคำนับโจโฉหลายครั้งจนโจโฉสงสัยถามว่า "เราให้ทองสิ่งของแก่ท่านมาเป็นอันมากก็ไม่ยินดี ท่านไม่ว่าชอบใจและมีความยินดีเหมือนเราให้ม้าตัวนี้ เหตุไฉนท่านจึงรักม้าอันเป็นสัตว์เดียรัจฉานมากกว่าทรัพย์สินอีกเล่า"[11] [12] กวนอูจึงตอบด้วยเหตุผลว่า "ข้าพเจ้าแจ้งว่าม้าเซ็กเธาว์ตัวนี้มีกำลังมาก เดินทางได้วันละหมื่นเส้น แม้ข้าพเจ้ารู้ข่าวว่าเล่าปี่อยู่ที่ใด ถึงมาตรว่าไกลก็จะไปหาได้โดยเร็ว เหตุฉะนี้ข้าพเจ้าจึงมีความยินดี ขอบคุณมหาอุปราชมากกว่าให้สิ่งของทั้งปวง"[11] [12]

[แก้] ความถือคุณธรรม
ภายหลังจากเตียวเลี้ยวเจรจาเกลี้ยกล่อมกวนอูได้สำเร็จ โจโฉสั่งทหารเปิดทางให้กวนอูเข้าเมืองและจัดให้อยู่ร่วมเรือนเดียวกับพี่สะใภ้ทั้งสองคือนางกำฮูหยินและนางบิฮูหยิน หวังให้กวนอูคิดทำร้ายจะได้แตกน้ำใจจากเล่าปี่ โจโฉจะได้ครอบครองกวนอูไว้เป็นสิทธ์แก่ตัว แต่กวนอูให้พี่สะใภ้ทั้งสองนอนห้องด้านในและนั่งจุดเทียนดูหนังสือรักษาพี่สะใภ้อยู่นอกประตู เป็นการทรมานตนเองจนรุ่งเช้าในระหว่างเดินทางกลับฮูโต๋ เมื่อโจโฉรู้ดังนั้นก็เกรงใจกวนอูด้วยว่า "มีความสัตย์และกตัญญูต่อเล่าปี่"[13]

[แก้] ความกตัญญูรู้คุณ

กวนอูแทนคุณโจโฉด้วยการเปิดทางให้หลบหนี ในฉบับสามก๊กฉบับละครโทรทัศน์ของจีนแผ่นดินใหญ่ ปี พ.ศ. 2538ในคราวศึกที่ตำบลแปะแบ๊ อ้วนเสี้ยวนำทัพหมายบุกโจมตียึดครองฮูโต๋ โจโฉจัดทหารสิบห้าหมื่นแยกออกเป็นสามกองเข้ารับมือกับอ้วนเสี้ยว ในการทำศึกโจโฉสูญเสียซงเหียน งุยซกและไพร่พลจำนวนมาก ซิหลงเสนอให้เรียกกวนอูออกรบ โจโฉกลัวกวนอูออกรบแล้วจะเป็นการแทนคุณตนเองและจากไปแต่ซิหลงแย้งว่า "ข้าพเจ้าเห็นว่าเล่าปี่ไปอาศัยอ้วนเสี้ยวอยู่ แม้กวนอูฆ่าทหารอ้วนเสี้ยวคนนี้เสียได้ อ้วนเสี้ยวรู้ก็จะฆ่าเล่าปี่ เมื่อเล่าปี่ตายแล้วกวนอูก็จะเป็นสิทธิ์อยู่แก่ท่าน"[14] โจโฉเห็นชอบด้วยความคิดซิหลงกวนอูจึงถูกเรียกตัวออกศึก โจโฉพากวนอูขึ้นไปบนเนินเขาและชี้ให้ดูตัวงันเหลียง กวนอูจึงว่า "งันเหลียงคนนี้หรือ ข้าพเจ้าพอจะสู้ได้ ท่านอย่าวิตกเลย ข้าพเจ้าจะตัดศีรษะงันเหลียงมาให้ท่านจงได้"[14] และได้ตัดคอบุนทิวและงันเหลียง สองทหารเอกของอ้วนเสี้ยวดั่งคำสัตย์ที่ได้ลั่นวาจาไว้ แม้จะไม่ยอมเป็นข้ารับใช้โจโฉแต่ก็ยอมพลีกายถวายชีวิตในการทำศึกสงครามให้แก่โจโฉ เป็นชายชาติทหารเต็มตัว ช่วยทำศึกให้แก่โจโฉด้วยความสัตย์ซื่อ กตัญญูรู้คุณเพื่อเป็นการทดแทนคุณโจโฉที่ได้เลี้ยงดูและปูนบำเหน็จรางวัลต่าง ๆ ให้มากมาย

นับจากนั้นเป็นต้นมา ชื่อเสียงและกิตติศัพท์ฝีมือง้าวในการทำศึกของกวนอูก็เป็นที่เลื่องลือกล่าวขานและรู้จักกันทั่วทั้งแผ่นดิน ในคราวที่โจโฉนำกำลังบุกลงใต้หวังยึดครองกังตั๋ง จิวยี่แม่ทัพของซุนกวนวางแผนการลอบฆ่าเล่าปี่โดยเชิญมากินโต๊ะ เล่าปี่หลงเชื่อถ้อยคำจิวยี่พาซื่อพาทหารไปกังตั๋งเพียงแค่ 20 คน นั่งดื่มเหล้ากับจิวยี่จนเมาในค่าย จิวยี่นัดแนะกับทหารไว้เมื่อเห็นตนเองทิ้งจอกเหล้าให้สัญญาณก็ให้ทหารที่เตรียมซุ่มไว้ออกมาฆ่าเล่าปี่ ระหว่างกินโต๊ะจิวยี่เห็นกวนอูยืนถือกระบี่อยู่ด้านหลังของเล่าปี่จึงถามว่าเป็นใคร เมื่อเล่าปี่ตอบว่า "กวนอูเป็นน้องข้าพเจ้าเอง"[15] จิวยี่ก็ตกใจจนเหงื่อกาฬไหลโทรมกาย เกรงกลัวฝีมือของกวนอูจนล้มเลิกแผนการฆ่าเล่าปี่

ในคราวศึกเซ็กเพ็ก ภายหลังจากขงเบ้งทำพิธีเรียกลมอาคเนย์ให้แก่จิวยี่และลอบหลบหนีด้วยแผนกลยุทธ์หลบหนีจากการถูกปองร้ายของจิวยี่ เดินทางกลับยังแฮเค้าพร้อมกับจูล่ง ขงเบ้งมอบหมายให้จูล่งคุมทหารสามพันไปซุ่มรอที่ตำบลฮัวหลิม ให้เตียวหุยคุมทหารสามพันไปซุ่มรอที่เนินเขาปากทางตำบลโฮโลก๊ก ให้บิต๊กและบิฮองคุมทหารไปดักรออยู่ตามชายทะเลคอยดักจับทหารโจโฉที่หลบหนีมา ให้เล่ากี๋คุมเรือรบไปตั้งอยู่ที่ตำบลฮูเชียงและให้เล่าปี่คุมทหารไปคอยดูแผนการเผาทัพเรือโจโฉของจิวยี่อยู่บนเนินเขา ขงเบ้งจงใจไม่เลือกใช้กวนอูทำให้กวนอูน้อยใจจึงกล่าวแก่ขงเบ้งว่า "ตัวข้าพเจ้านี้มาอยู่กับเล่าปี่ช้านานแล้ว แลเล่าปี่จะทำการสิ่งใดก็ย่อมใช้สอยข้าพเจ้าให้อาสาไปทำการก่อนทุกแห่ง ครั้งนี้ท่านแคลงข้าพเจ้าสิ่งใดหรือ จึงไม่ใช้ไปทำการเหมือนคนทั้งปวง"[16] ขงเบ้งจึงมอบหมายให้กวนอูคุมทหารห้าร้อยไปตั้งสกัดอยู่ทางฮัวหยง แต่ก็เกิดความคลางแคลงกวนอู ด้วยความเป็นคนสัตย์รู้จักคุณคน เกรงกวนอูจะนึกถึงคุณโจโฉที่เคยเอ็นดูทำนุบำรุงมาแต่ก่อนจึงไม่ฆ่าเสียและปล่อยให้หลุดรอดไป กวนอูจึงยอมทำทัณฑ์บนแก่ขงเบ้งด้วยศีรษะของตนเองถ้าไปดักรอโจโฉที่เส้นทางฮัวหยงแล้วปล่อยให้หลบหนีไปได้

โจโฉแตกทัพไปตามเส้นทางที่ขงเบ้งคาดการณ์ไว้จนถึงฮัวหยง พบกวนอูขี่ม้าถือง้าวคุมทหารออกมายืนสกัดขวางทางไว้ โจโฉเกิดมานะฮึกเฮิมจะต่อสู้แต่เรี่ยวแรงและกำลังของทหารที่ติดตามมานั้นอ่อนแรง เทียหยกจึงกล่าวแก่โจโฉว่า "จะหนีจะสู้นั้นก็ไม่ได้ อันน้ำใจกวนอูเป็นทหารนั้นก็จริง ถ้าเห็นผู้ใดไม่สู้รบแล้วก็มิได้ทำอันตราย ประการหนึ่งเป็นผู้มีความสัตย์ ทั้งรู้จักคุณคนนักด้วย แล้วท่านก็ได้เลี้ยงดูมีคุณไว้ต่อกวนอูเป็นอันมาก แม้ท่านเข้าไปว่ากล่าวโดยดี เห็นกวนอูจะไม่ทำอันตรายท่าน""[17] โจโฉเห็นชอบด้วยจึงว่ากล่าวตักเตือนกวนอูให้ระลึกถึงบุญคุณแต่ครั้งเก่าคราวที่กวนอูหักด่านถึง 5 ตำบล ฆ่า 6 ขุนพลและทหารเป็นจำนวนมาก ขอให้กวนอูเปิดทางให้หลบหนีไป กวนอูนั้นเป็นคนกตัญญูรู้คุณคน ได้ฟังโจโฉว่ากล่าวก็สงสารนึกถึงคุณโจโฉซึ่งมีมาแต่หนหลัง จึงยอมเปิดทางให้โจโฉหลบหนีไปโดยตนเองเลือกยอมรับโทษประหารตามที่ได้ลั่นวาจาสัตย์และทำทัณฑ์บนไว้แก่ขงเบ้ง

[แก้] ความกล้าหาญ

กวนอูในฉบับสามก๊กฉบับละครโทรทัศน์ของจีนแผ่นดินใหญ่ ปี พ.ศ. 2538เมื่อคราวเล่าปี่ตั้งตนเป็นใหญ่ในเสฉวนและสถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าฮันต๋ง ได้ให้กวนอูไปกินตำแหน่งเจ้าเมืองเกงจิ๋วซึ่งเป็นหัวเมืองเอกของเสฉวน แต่เดิมเกงจิ๋วเป็นของซุนกวน โลซกรับเป็นนายประกันให้เล่าปี่ยืมเกงจิ๋วโดยสัญญาว่าเมื่อได้เสฉวนจะคืนเกงจิ๋วให้ แต่เมื่อเล่าปี่ได้เสฉวนกลับไม่ยอมคืนเกงจิ๋วให้ตามสัญญา ซุนกวนให้จูกัดกิ๋นพี่ชายขงเบ้งเป็นทูตไปเจรจาขอคืน แต่เล่าปี่ก็แสร้งบิดพลิ้วไม่ยอมคืนแต่จะยกเมืองเตียงสา เมืองเลงเหลงและเมืองฮุยเอี๋ยวให้แทน โดยให้ไปเจรจาขอเกงจิ๋วคืนแก่กวนอูผู้เป็นเจ้าเมือง โลซกจึงวางแผนการชิงเกงจิ๋วคืนด้วยการเชิญกวนอูมากินโต๊ะ ณ ปากน้ำลกเค้า ถ้าเจรจาขอเกงจิ๋วคืนจากกวนอูไม่สำเร็จจะใช้กำลังเข้าแย่งชิงโดยให้กำเหลงและลิบองคุมทหารซุ่มรออยู่รอบด้าน

กวนอูรับคำเชิญของโลซก แต่กวนเป๋งเกรงกวนอูจะได้รับอันตรายหากไปกินโต๊ะตามคำเชิญ กวนอูจึงให้เหตุผลว่า "เหตุทั้งนี้เพราะจูกัดกิ๋นไปบอกซุนกวน โลซกจึงคิดกลอุบายให้เราไปกินโต๊ะแล้วจะได้ทวงเอาเมืองเกงจิ๋วคืนไปไว้เป็นกรรมสิทธิ์ซุนกวน ครั้นเราจะไม่ไปชาวเมืองกังตั๋งจะดูหมิ่นเราว่ากลัว พรุ่งนี้เราจะพาทหารแต่ยี่สิบคนลงเรือเร็วไปกินโต๊ะ จะดูท่วงทีโลซกจะเกรงง้าวที่เราถือหรือไม่"[18] แต่กวนเป๋งเกรงเล่าปี่จะตำหนิถ้าหากปล่อยให้กวนอูไปกังตั๋ง มิใยกวนเป๋งและม้าเลี้ยงจะห้ามปราม กวนอูก็ยืนยันคำเดิมตามที่ได้ลั่นวาจาไว้พร้อมกับกล่าวว่า "เจ้าอย่าวิตกเลย อันบิดานี้ก็มีฝีมือเลื่องลืออยู่ แต่ทหารโจโฉเป็นอันมากนับตั้งแสน บิดากับม้าตัวเดียวก็ยังไม่ต้องเกาฑัณฑ์แลอาวุธทั้งปวง ขับม้ารบพุ่งรวดเร็วเป็นหลายกลับ อุปมาเหมือนเข้าดงไม้อ้อแลออกจากพงแขม จะกลัวอะไรแก่ทหารเมืองกังตั๋งเพียงนี้ดังหนูอันหาสง่าไม่ ได้ออกปากว่าจะไปแล้วจะให้เสียวาจาไย"[18]

กวนอูข้ามฟากไปกินโต๊ะตามคำเชิญของโลซกโดยลงเรือเร็ว มีนายท้ายกะลาสีประมาณยี่สิบคนพร้อมธงแดงสำหรับกวนอู แต่งกายโอ่โถงใส่เสื้อแพรสีม่วง โพกแพรสีเขียวปราศจากเกราะป้องกัน มีจิวฉองแบกง้าวนั่งเคียงข้าง มีทหารฝีมือเยี่ยมติดตามมาด้วยประมาณเจ็ดแปดคน บุกเดี่ยวไปยังดินแดนกังตั๋งด้วยความองอาจกล้าหาญมิเกรงกลัวต่อความตายที่อาจเกิดขึ้นได้ในต่างแดน โลซกเห็นกวนอูแต่งกายมีสง่าน่าเกรงขามก็เกิดความหวาดกลัว เกรงจะเจรจาขอเกงจิ๋วคืนไม่สำเร็จ ครั่นคร้ามกวนอูขนาดเสพย์สุราก็มิอาจเงยหน้าขึ้นดูกวนอู[19] ไม่กล้าเอ่ยปากเจรจาขอเกงจิ๋วคืน รอจนกวนอูใกล้เมาจึงเอ่ยปากขอเกงจิ๋วคืนจากกวนอู

แต่แผนการของโลซกไม่ประสบความสำเร็จ กวนอูบอกปัดไม่ยอมคืนเกงจิ๋วโดยให้ไปเจรจาต่อเล่าปี่ แสร้งทำเป็นเมามายไม่ได้สติและฉวยง้าวจากจิวฉองที่ถือยืนคอยอยู่มาแกว่งไว้ในมือ อีกมือหนึ่งยึดเอามือโลซกไว้แล้วจูงมือเดินออกมานอกค่ายแล้วกล่าวว่า "ท่านหามากินโต๊ะนี้ก็ขอบใจแล้ว แต่เหตุใดจึงเอาการเมืองเกงจิ๋วมาว่าด้วยเล่า บัดนี้เราก็เมาสุราอยู่ แม้ไม่คิดถึงว่าได้รักกันมาแต่ก่อนก็จะขัดเคืองกันเสีย เราจึงอุตส่าห์ระงับโทสะไว้ เราจะลาท่านไปก่อนต่อวันอื่นเราจะเชิญท่านไปกินโต๊ะที่เมืองเกงจิ๋วบ้าง"[19] แล้วก็ลงเรือชักใบกลับเกงจิ๋วโดยอาศัยความกล้าหาญที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในตัวเอง ทำลายแผนการของโลซกที่จะทวงเอาเกงจิ๋วคืนได้สำเร็จจนกลายเป็นเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมาเป็นเวลาช้านาน

เมื่อคราวกวนอูนำกำลังทหารบุกโจมตียึดเมืองซงหยงและจับตัวอิกิ๋มกลับไปเกงจิ๋ว จึงแบ่งกำลังทหารจำนวนหนึ่งไปอยู่ที่ตำบลเกียบแฮซึ่งเป็นทางเข้าของเมืองอ้วยเซียเพื่อยึดครองตามคำสั่งขงเบ้ง แต่กวนอูเสียทีถูกทหารโจหยินยิงด้วยเกาฑัณฑ์อาบยาพิษที่ไหล่จนตกจากหลังม้า กวนเป๋งเป็นผู้ช่วยเหลือนำกวนอูกลับยังค่าย ลูกเกาฑัณฑ์ที่ไหล่กวนอูนั้นอาบด้วยยาพิษซึมซาบเข้าไปในกระดูกสร้างความเจ็บปวดเป็นอย่างมากจนไม่อาจเคลื่อนไหวได้ กวนเป๋งได้เชิญฮัวโต๋ซึ่งเป็นหมอเอกชาวเมืองเกาจุ๋นมาช่วยรักษาบาดแผลจากพิษเกาฑัณฑ์ให้แก่กวนอู

กวนอูได้รับความเจ็บปวดจากพิษเกาฑัณฑ์ แต่เกรงทหารทั้งหมดจะเสียน้ำใจจึงสู้อุตส่าห์ระงับความเจ็บปวดและแสร้งทำเป็นปกติไม่มีอาการเจ็บปวดแม้แต่น้อย เรียกม้าเลี้ยงให้มาเล่นหมากรุกเพื่อหวังให้ทหารทั้งหมดมีน้ำใจ ฮัวโต๋มาทำการรักษาอาการบาดเจ็บให้แก่กวนอูและว่า "แผลเกาฑัณฑ์อาบด้วยยาพิษซาบเข้าไปในกระดูก ถ้ามิเร่งรักษานานไปไหล่จะเสีย"[20] และให้ทำปลอกรัดกวนอูไหวกับเสาเพื่อป้องกันไม่ให้ไหวตัว แต่กวนอูปฏิเสธและบอกว่า "อย่าพักเอาปลอกรัดเลย ท่านจะทำประการใดก็ตามแต่จะทำเถิด เราจะนิ่งให้ทำ"[20] และเอียงไหล่ให้ฮัวโต๋เอามีดเชือดเนื้อร้ายออก ใส่ยาและเอาเข็มเย็บบาดแผลไว้ เมื่อรักษาเสร็จกวนอูจึงว่า "เราหาเจ็บไม่ หายแล้ว"[20] และกล่าวสรรเสริญฮัวโต๋ประหนึ่งเป็นเทพดา ฮัวโต๋จึงว่า "แต่ข้าพเจ้ารักษาคนป่วยมานี้ก็มากอยู่แล้ว หาเหมือนท่านไม่ อันท่านนี้มีน้ำใจทนทานต่อความเจ็บไม่สะดุ้งสะเทือนเลยดีนัก"[20]

[แก้] ความหยิ่งทรนง
แม้กวนอูจะได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีความสัตย์ซื่อถือคุณธรรม กตัญญูรู้คุณและมีความกล้าหาญ แต่ถ้าพิจารณาจากวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) เรื่องราวชีวิตของกวนอูตั้งแต่เริ่มพบกับเล่าปี่และเตียวหุย จนถึงการจบชีวิตพร้อมกับกวนเป๋งเมื่อคราวเสียเกงจิ๋ว ก็อาจกล่าวได้ว่ากวนอูนั้นเป็นผู้ที่เหมาะสมและคู่ควรแก่การเป็นยอดวีรบุรุษ เป็นผู้กล้าที่กอปรไปด้วยสติปัญญาอันหลักแหลม เป็นยอดขุนพลผู้มีฝีมือล้ำเลิศจนเป็นที่กล่าวขานไปทั่ว สามารถกุมชัยชนะในการต่อสู้ทำศึกสงครามมานับครั้งไม่ถ้วน แต่สุดท้ายกวนอูก็พลาดท่าเสียทีให้แก่ขุนพลผู้เยาว์วัยเช่นลกซุน และต้องแลกเกงจิ๋วกับความผิดพลาดของตนเองด้วยชีวิต

ข้อเสียอันร้ายแรงของกวนอูคือความเย่อหยิ่งทรนงในศักดิ์ศรีและเชื่อมั่นในตนเองมากจนเกินไป ไม่เชื่อถือผู้ใดนอกจากตนเอง เมื่อคราวที่เล่าปี่ไปเชิญขงเบ้งจากเขาโงลังกั๋งถึงสามครั้งเพื่อให้เป็นที่ปรึกษาในการทำราชการแผ่นดิน กวนอูไม่ยอมรับฟังคำสั่งของขงเบ้งด้วยเห็นว่าอายุน้อยกว่าตนเอง เตียวหุยและเล่าปี่ รวมทั้งเมื่อเล่าปี่ให้ความเคารพนับถือขงเบ้งประดุจอาจารย์ กวนอูยิ่งเกิดความน้อยใจในตนเองเป็นอย่างยิ่งจึงกล่าวว่า "ขงเบ้งนั้นอายุยี่สิบเจ็ดปีอ่อนกว่าท่านอีก แล้วก็ยังมิได้ปรากฏปัญญาแลความคิดมาก่อน เหตุใดท่านจึงมาคำนับขงเบ้งดังอาจารย์ฉะนี้"[21] และด้วยนิสัยที่ไม่ยอมอ่อนต่อผู้อื่น กวนอูจึงถูกขงเบ้งดัดนิสัยในคราวศึกทุ่งพกบ๋องด้วยการขอกระบี่และอาญาสิทธิ์ของเล่าปี่ไว้ในครอบครองเพื่อสั่งการแก่กวนอู

ขงเบ้งมอบหมายให้กวนอูคุมทหารพันนายไปซุ่มรอคอย ณ เขาอีสัน ให้เตียวหุยคุมทหารพันนายไปซุ่มรอคอย ณ ป่าอันหลิม ให้จูล่งคุมทหารยกไปเป็นกองหน้าและให้เล่าปี่คุมกำลังทหารไปเป็นกองหนุนจูล่ง กวนอูจึงกล่าวแก่ขงเบ้งว่า "ท่านจัดแจงเราทั้งปวงให้ยกไปทำการ ทั้งนี้ก็เห็นชอบอยู่แล้ว แลตัวท่านนั้นจะทำเป็นประการใดเล่า"[21] แต่เมื่อแผนการเผาทัพแฮหัวตุ้นของขงเบ้งประสบความสำเร็จ กองทัพของแฮหัวตุ้นสูญเสียไพร่พลเป็นจำนวนมากที่ทุ่งพกบ๋อง ทำให้กวนอูยอมรับในสติปัญญาของขงเบ้งและยอมเชื่อฟังคำสั่งของขงเบ้งมาโดยตลอด

ภายหลังเล่าปี่ตั้งตนเองเป็นใหญ่ในเสฉวน สถาปนาตนเองเป็นพระเจ้าฮันต๋ง ได้มอบหมายให้บิสีถือตรามาแต่งตั้งให้กวนอูเป็นทหารเสือที่เอกของเล่าปี่ โดยเหล่าทหารเสือประกอบไปด้วย กวนอู เตียวหุย จูล่ง ม้าเฉียวและฮองตง เมื่อกวนอูได้ฟังดังนั้นก็โกรธจึงว่า "เตียวหุยก็เป็นน้องของเรา จูล่งเล่าก็ได้ติดตามพี่เรามาช้านานแล้ว ก็เหมือนหนึ่งเป็นน้องของเรา ฝ่ายม้าเฉียวเล่าก็เป็นชาติเชื้อตระกูลอยู่ แต่ฮองตงคนนี้เป็นแต่เชื้อพลทหารชาติต่ำ เป็นคนแก่ชราหาควรจะตั้งให้เสมอเราด้วยไม่ ซึ่งมีตรามาดังนี้หายังหายอมไม่ก่อน"[22]

ก่อนที่กวนอูจะเสียเกงจิ๋วและพ่ายแพ้จนถูกประหารชีวิต ซุนกวนได้ส่งจูกัดกิ๋นเป็นเถ้าแก่มาเจรจาสู่ขอบุตรสาวของกวนอูเพื่อแต่งงานกับบุตรชายของซุนกวน แต่กวนอูปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่าบุคคลผู้สืบทอดแซ่ซุนมาสามชั่วอายุคนนั้น ถึงแม้จะยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่ด้วยตนเองจึงไม่นิยมและนับถือซุนกวน ถือคติตีราคาค่าของตนเองยิ่งใหญ่กว่าซุนกวนด้วยถ้อยคำปฏิเสธการสู่ขอว่า "บุตรของเรานี้ชาติเชื้อเหล่าเสือ ไม่สมควรจะให้แก่สุนัข ท่านว่ามาดังนี้ ถ้าเรามิคิดเห็นแก่หน้าขงเบ้งน้องของท่าน เราก็จะฆ่าท่านเสีย อย่าว่าไปเลย"[23] [5] โดยที่กวนอูไม่ทันยั้งคิดถึงความสัมพันธ์ระหว่างเล่าปี่และซุนกวน ซึ่งเล่าปี่มีฐานะเป็นราชบุตรเขยของแซ่ซุน อีกทั้งการปฏิเสธซุนกวนแบบไม่มีเยื่อใยของกวนอู กลายเป็นการสร้างชนวนให้ซุนกวนเป็นพันธมิตรกับโจโฉ ทำลายยุทธศาสตร์สามก๊กของขงเบ้งจนเป็นเหตุให้กวนอูพ่ายแพ้และเสียชีวิต

และเมื่อกวนอูได้รับคำสั่งจากเล่าปี่ให้คอยรักษาเมืองเกงจิ๋ว ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญในการทำศึกสงคราม แต่ด้วยความหยิ่งทรนงและเชื่อมั่นในฝีมือตนเอง กวนอูก็มิได้ใส่ใจปฏิบัติตามคำสั่งของขงเบ้งที่กล่าวว่า "ท่านจะอยู่ภายหลังนั้น จงจัดแจงระมัดระวังตัวข้างฝ่ายเหนือคอยสู้โจโฉให้ได้ ฝ่ายใต้นั้นท่านจงทำใจดีประนอมด้วยซุนกวนโดยปรกติ เมืองเกงจิ๋วจึงจะมีความสุข"[24] จึงเป็นเหตุเสียเกงจิ๋วให้แก่ซุนกวนและทำให้ตนเองต้องเสียชีวิต

[แก้] ครอบครัว
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์จีนระบุว่า กวนอูมีบุตรจำนวน 4 คนได้แก่กวนเป๋ง กวนหิน กวนสกและบุตรสาว โดยสันนิษฐานว่ากวนหิน กวนสกและบุตรสาวนั้น เป็นบุตรของกวนอูซึ่งเกิดจากภรรยาที่เล่าปี่เป็นผู้สู่ขอให้เมื่อคราวกวนอูครองเมืองเกงจิ๋ว โดยหลักฐานทางประวัติศาสตร์จีนไม่ปรากฏชื่อของบุตรสาวและภรรยาของกวนอู[23] กวนหินเป็นบุตรชายคนโต ปรากฏตัวในวรรณกรรมจีนอิงประวัติศาสตร์เรื่องสามก๊กภายหลังจากกวนอูและเตียวหุยเสียชีวิต แต่เดิมอยู่เมืองเกงจิ๋วร่วมกับกวนอู หลังจากกวนอูเสียชีวิตได้ติดตามเล่าปี่ออกทำศึกกับซุนกวนมาโดยตลอด กวนสกซึ่งเป็นบุตรชายคนรอง ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อคราวช่วยขงเบ้งรบกับเบ้งเฮ็ก และบุตรสาวของกวนอู ปรากฏตัวครั้งแรกเมื่อคราวซุนกวนส่งจูกัดกิ๋นไปเป็นเถ้าแก่สู่ขอให้แก่บุตรชายของตน สำหรับกวนเป๋งเป็นบุตรบุญธรรม แต่เดิมเป็นบุตรชายของกวนเต๋ง ได้พบกับกวนอูเมื่อคราวที่กวนอูและซุนเขียนนำกำลังทหารยี่สิบคนไปทางทิศเหนือใกล้กับเมืองกิจิ๋วเพื่อพบเล่าปี่

กวนอูได้ไปขอพักอาศัยในบ้านป่าแห่งหนึ่ง กวนเต๋งผู้เป็นเจ้าของบ้านได้ยินกิตติศัพท์และชื่อเสียงของกวนอูมานานจึงว่า "ท่านกับเราเป็นแซ่เดียวกัน แต่ก่อนนั้นเราก็ได้ยินลืออยู่ว่าท่านมีฝีมือกล้าหาญ ประกอบทั้งความสัตย์ซื่อ ซึ่งได้พบท่านนี้เป็นบุญของเรา"[25] และนำกวนเป๋งและกวนเหล็งมาคำนับกวนอู โดยมอบกวนเป๋งบุตรชายคนเล็กให้เป็นบุตรบุญธรรมของกวนอูเมื่ออายุได้ 15 ปี โดยเล่าปี่เห็นเหมาะสมด้วยว่าขณะนั้นกวนอูยังไม่มีบุตรสืบสกุล[25] หลังจากกวนเป๋งเป็นบุตรบุญธรรมของกวนอู ได้ติดตามเคียงข้างกวนอู ร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ช่วยทำศึกตลอดเวลา เมื่อคราวที่กวนอูถูกจับได้ที่เขาเจาสัน กวนเป๋งวิ่งเข้าไปหาหมายจะช่วยเหลือกวนอู แต่ถูกจูเหียนคุมทหารเข้าล้อมจับตัวได้ก่อนถูกประหารชีวิตพร้อมกับกวนอู

[แก้] อาวุธ

ง้าวมังกรเขียวในฉบับสามก๊กฉบับละครโทรทัศน์กวนอูมีอาวุธประจำกายคือง้าวรูปจันทร์เสี้ยว สร้างขึ้นเมื่อคราวเล่าปี่ กวนอูและเตียวหุยออกเกลี้ยกล่อมราษฎร รวบรวมกำลังไพร่พลจัดตั้งกองทัพออกต่อสู้กับโจรโพกผ้าเหลือง ได้มีพ่อค้าม้าชื่อเตียวสิเผงและเล่าสงได้ร่วมบริจาคม้าจำนวนห้าสิบ เงินห้าร้อยตำลึงและเหล็กร้อยหาบสำหรับสร้างเป็นอาวุธจำนวนมาก[26] เล่าปี่ให้ช่างตีเหล็กเป็นกระบี่คู่แบบโบราณ เตียวหุยให้ช่างตีเหล็กเป็นทวนรูปร่างลักษณะคล้ายงู

สำหรับกวนอูให้ช่างตีเหล็กเป็นง้าวขนาดใหญ่รูปจันทร์เสี้ยว ประดับลวดลายมังกรขนาดความยาว 11 ศอกหรือประมาณ 3.63 เมตร หนัก 82 ชั่งหรือประมาณ 65.6 กิโลกรัม มีชื่อเรียกเฉพาะว่า ชิงหลงเหยี่ยนเยฺว่เตา (จีนตัวเต็ม: 青龍偃月刀; พินอิน: qīnglóng yǎnyuèdāo) หรือง้าวมังกรเขียว (บ้างเรียกง้าวมังกรจันทร์ฉงาย) [27] ตลอดระยะเวลาในการตรากตรำทำศึกสงครามร่วมกับเล่าปี่และเตียวหุย กวนอูใช้ง้าวมังกรเขียวเป็นอาวุธประจำกายตลอดเวลาจนกระทั่งเสียชีวิต

เมื่อคราวโจโฉทำศึกกับตั๋งโต๊ะ กวนอูใช้ง้าวมังกรเขียวตัดคอฮัวหยงมาให้โจโฉที่หน้าค่ายด้วยความรวดเร็ว โดยที่ยังไม่จบเพลงรบและเหล้าที่โจโฉอุ่นมอบให้แก่กวนอูยังคงอุ่น ๆ สังหารงันเหลียงและบุนทิว สองทหารเอกของอ้วนเสี้ยวในคราวศึกตำบลแปะแบ๊ด้วยง้าวมังกรเขียวในเพลงเดียวเช่นกัน[28] ตลอดระยะเวลาการทำศึกกวนอูไม่เคยห่างจากง้าวมังกรเขียว เมื่อเล่าปี่ให้กวนอูไปกินตำแหน่งเจ้าเมืองเกงจิ๋วร่วมกับกวนเป๋งและจิวฉอง โดยจิวฉองรับหน้าที่ดูแลรักษาง้าวมังกรเขียวและถือแทนกวนอู เมื่อซุนกวนให้โลซกทางเกงจิ๋วคืนจากเล่าปี่ โลซกได้เชิญกวนอูไปกินโต๊ะที่ค่าย ณ ปากน้ำลกเค้า จิวฉองก็คอยติดตามถือง้าวมังกรเขียวเคียงข้างกวนอูตลอด

เมื่อคราวที่กวนอูพลาดท่าเสียทีลิบองและลกซุนจนถูกล้อมอยู่ที่เมืองเป๊กเสีย ก่อนจะนำกำลังทหารจำนวนร้อยคนหักตีฝ่าออกมาจนถูกจับตัวได้พร้อมกับกวนเป๋งและถูกประหารชีวิตในภายหลัง ง้าวของกวนอูถูกพัวเจี้ยงยึดเอาไปใช้ แต่กวนหินบุตรชายของกวนอูเป็นผู้สังหารพัวเจี้ยงและนำง้าวของกวนอูกลับคืนมา[29]

[แก้] ความเคารพนับถือ

เทพเจ้ากวนอู เทพเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อแต่เดิมจีนโบราณให้ความเคารพนับถืองักฮุยเป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์ สืบต่อกันมาเป็นเวลานานในฐานะเป็นผู้มีความจงรักภักดีต่อชาติ ด้วยคุณธรรมความดีของงักฮุยส่งผลให้ได้รับการยกย่องเป็นเทพเจ้าแห่งความรักชาติและความจงรักภักดีเป็นที่กล่าวขานกันมาเป็นเวลานาน[30] แต่ปัจจุบันเทพเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อได้เปลี่ยนมาเป็นกวนอูแทนในหลังยุคสามก๊กมานับพันปี กวนอูเป็นเทพเจ้าที่ชาวจีนและคนไทยเชื้อสายจีนให้ความเคารพบูชาและศรัทธาเลื่อมใสเป็นอย่างมาก กวนอูเปรียบเสมือนเทพเจ้าที่ชาวจีนให้ความเคารพกราบไหว้บูชาในฐานะที่เป็นเทพเจ้าแห่งความสัตย์ซื่อ

ไม่เพียงแต่ยกย่องให้กวนอูเป็นเทพเจ้าแห่งความสัตย์ซื่ออย่างเดียวเท่านั้น หากแต่กวนอูได้รับสมญานามให้เป็นถึง จงอี้เสินอู่กวนเสิ้งต้าตี้ (จีนตัวเต็ม: 忠義神武關聖大帝; พินอิน: Zhōngyì Shénwǔ Guān Shèngdàdì) [31] ซึ่งมีความหมายคือมหาเทพกวนผู้ยิ่งใหญ่แห่งความจงรักภักดี คุณธรรมและความกล้าหาญ[32] โดยพระเจ้าเฉียนหลงแห่งราชวงศ์ชิงเป็นผู้แต่งตั้งเมื่อ พ.ศ. 2187 เพื่อเป็นการสร้างจิตสำนึกเรื่องความสัตย์ซื่อและจงรักภักดีเพื่อเป็นต้นแบบให้แก่ราษฎรซึ่งคนจีนถือความสัตย์เป็นใหญ่ร่วมกับความกตัญญูรู้คุณคน ทำให้กวนอูกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วและได้รับการยกย่องให้เป็นเทพเจ้าแห่งความซื่อสัตย์สืบต่อมาเป็นเวลานาน[33] และได้รับการเคารพในฐานะเทพอุปถัมภ์และเทพผู้ปกป้องคุ้มครองของตำรวจ นักการเมืองและผู้นำทางด้านเศรษฐกิจ[34]

จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ของจีนโบราณ กวนอูอาจมีชีวิตก่อนงักฮุยเป็นเวลาเกือบพันปี กล่าวคือกวนอูเป็นบุคคลสำคัญในสมัยยุคสามก๊ก (พ.ศ. 763 - พ.ศ. 823) แต่งักฮุยมีชีวิตอยู่ในสมัยราชวงศ์ซ่ง (พ.ศ. 1503 - พ.ศ. 1822) [35] กวนอูและงักฮุยเป็นวีรบุรุษที่เป็นที่กล่าวขานกันสืบต่อกันมาเป็นเวลานานในเรื่องของความสัตย์ซื่อและจงรักภักดี ในประเทศไทยชื่อเสียงและกิตติศัพท์ความสัตย์ซื่อ กตัญญูรู้คุณคนของกวนอูอาจจะเป็นที่กล่าวขานและรู้จักกันมากกว่างักฮุย เนื่องจากกวนอูเป็นตัวละครสำคัญในสามก๊กซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นเทพบู๊ (จีน: 武圣) และมีสถานะเทียบกับเทพบุ๋น (จีน: 文圣) คือขงจื๊อ

ในอดีตบรรพบุรุษของชนเผ่าแมนจู (จีน: 满族) คือพวกเผ่าหนี่ว์เจิน (จีน: 女真族) หรือจิน (พ.ศ. 1658 - พ.ศ. 1777) แมนจูเป็นชนเผ่าที่เรืองอำนาจขึ้นมาในยุคสมัยเดียวกับราชวงศ์ซ่งใต้ ภายหลังจากราชวงศ์ซ่งล่มสลายลงจนถึงราชวงศ์หยวนและราชวงศ์หมิง จนกระทั่งราชวงศ์ชิงที่ก่อตั้งขึ้นโดยชาวแมนจู แม้กาลเวลาจะล่วงเลยผ่านมานานหลายร้อยปี แต่การที่ชาวจีนให้ความเคารพนับถืองักฮุยในฐานะวีรบุรุษต่อต้านเผ่าแมนจูหรือเผ่าจินก็ยังคงอยู่ไม่เสื่อมคลาย ซึ่งการให้การยกย่องและเคารพนับถืองักฮุยนั้น ดูเหมือนจะเป็นเรื่องปกติสำหรับราษฎรทั่วไป แต่ในสายตาของขุนนางบู๊และบุ๋นภายในราชสำนักชิง การให้ความเคารพนับถือบูชางักฮุยในฐานะวีรบุรุษต้านชนเผ่าจินเป็นการเปรียบได้กับการให้ความเคารพนับถือบูชาผู้ที่ต่อต้านราชวงศ์ชิงนั่นเอง ดังนั้นราชสำนักชิงจึงวางกลอุบายยกย่องกวนอูให้เป็นอีกหนึ่งวีรบุรุษในประวัติศาสตร์จีน เพื่อให้กวนอูกลายเป็นที่ศรัทธาเคารพบูชาของสามัญชนทั่วไปในฐานะเทพเจ้าผู้มีความสัตย์ซื่อ เพื่อเป็นการลดกระแสการเคารพนับถือและเชิดชูงักฮุยให้เบาบางลง[36]

[แก้] เทพเจ้ากวนอู
กวนอูเป็นผู้ที่มีคุณสมบัติของการเป็นผู้นำที่มีจริยธรรมในด้านความสัตย์ซื่อและความกล้าหาญ ได้รับการยกย่องสรรเสริญเป็นอย่างมากจากผู้ปกครองในหลายดินแดนว่าเป็นบุคคลดีเด่นในประวัติศาสตร์และกลายมาเป็นเทพเจ้าที่ได้รับการเคารพบูชากราบไหว้ กวนอูได้รับเกียรติอย่างสูงสุดคือได้รับการยกย่องให้เทียบเท่ากับขงจื๊อ คือได้รับการขนานนามว่า "เป็นนักบุญพฤติธรรม" และ "เทพเจ้าแห่งสงคราม"[37] ภายหลังจากกวนอูเสียชีวิต มีข่าวลือว่าศีรษะของกวนอูถูกฝังอยู่ทางตอนใต้ของเมืองลกเอี๋ยง ผู้คนที่ทราบข่าวและศรัทธาในตัวกวนอูจึงไปสร้างวัดเทพเจ้ากวนอูและวัดกวนหลินในเมืองลกเอี๋ยง เพื่อเป็นการสักการบูชากราบไหว้ในคุณความดีทั้งสี่ของกวนอูคือ "สัตย์ซื่อถือคุณธรรม กตัญญูรู้คุณและความกล้าหาญ"

ในการแสดงอุปรากรจีน หน้ากากกวนอูที่ใช้แสดงจะเป็นสีแดงล้วน มีความหมายถึงความสัตย์ซื่อและความกล้าหาญ รูปนัยน์ตาเรียวเล็กและวาดรูปคิ้วเหมือนหนอนไหม 2 ตัววางพาดลงมา และเนื่องจากเป็นที่รู้จักกันว่ากวนอูมีหนวดเครายาวมากจึงเรียกขานนามกวนอูว่า "ขุนนางเคราเขียว" และเพื่อเป็นการแสดงความเคารพนับถือกวนอู ในการแสดงอุปรากรจีนจึงไม่เลียนแบบลักษณะของกวนอูให้เหมือนทุกอย่าง หากแต่หน้ากากกวนอูจะเติมเพียงจุดดำลงบนหน้ากากด้วยหนึ่งจุด ซึ่งเป็นการแต้มจุดดำด้วยความตั้งใจของผู้แสดง[38]

[แก้] ศาลเจ้ากวนอู

ศาลเจ้ากวนอูในเมืองลัวหยาง ประเทศจีนปัจจุบันมีวัดและศาลเจ้าของกวนอูจำนวนมากทั้งในประเทศจีน ประเทศไทยและต่างประเทศ ทำให้กวนอูกลายเป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่มีวัดและศาลเจ้ามากที่สุด ในเมืองปักกิ่งสมัยราชวงศ์ชิง ในประเทศจีนเคยมีศาลเจ้ากวนอูถึง 116 แห่ง และมีศาลเจ้ากวนอูที่ประเทศไต้หวันถึง 500 แห่ง[39] นอกจากนี้กวนอูยังเป็นเทพพิทักษ์ในด้านการค้าขายเช่น การจำนอง, ช่างทอง, ผ้าไหม และผ้าต่วน

ในประเทศจีนศาลเจ้ากวนอูตั้งอยู่ที่ลัวหยาง ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งของจีน ภายในศาลเจ้าประกอบไปด้วยตำหนักสามตำหนัก ตำหนักหลักของศาลเจ้ากวนอูตั้งอยู่ภายใน ระยะทางผ่านจากประตูใหญ่เข้าไปประมาณ 50 เมตร มีสิงโตหินจำนวน 104 ตัวเรียงรายสองข้างทาง ที่บริเวณตำหนักใหญ่ (จีน: 大殿) มีรูปปั้นกวนอูขนาดใหญ่เพื่อให้ผู้คนที่เคารพนับถือสักการบูชา ตำหนักที่สอง (จีน: 二殿) หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของลัวหยาง

ซึ่งตามแผนที่ประเทศจีนในปัจจุบัน ตำแหน่งของเมืองกังตั๋งนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ภายในตำหนักมีรูปปั้นกวนอูในชุดเกราะพร้อมทำการศึกสงคราม รูปปั้นกวนอูภายในตำหนักที่สองหันใบหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ด้วยลักษณะใบหน้าถมึงทึง ดุดัน ดวงตาเบิกกว้างอย่างโกรธแค้น ซึ่งการจ้องมองไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของกวนอู เป็นการแสดงออกถึงความโกรธแค้นของกวนอูที่มีต่อซุนกวนในการถูกสั่งประหารชีวิต[40] ภายในตำหนักที่สามมีรูปปั้นกวนอูจำนวนสององค์ โดยรูปปั้นทางด้านซ้ายมือเป็นรูปปั้นกวนอูในลักษณะของการอ่านคัมภีร์หลี่ซื่อชุนชิว ทางด้านขวามือเป็นรูปปั้นกวนอูในอิริยาบถพักผ่อน และทางด้านหลังของตำหนักที่สาม เป็นหลุมฝังศพขนาดใหญ่ที่เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ที่โจโฉฝังศีรษะของกวนอูอย่างสมเกียรติในฐานะเจ้าเมืองเกงจิ๋ว

ในประเทศไทยศาลเจ้ากวนอูที่เป็นที่รู้จักของชาวจีนและคนไทยเชื้อสายจีนมากที่สุดตั้งอยู่ที่บริเวณตลาดเก่าเยาวราช สร้างขึ้นโดยพระยาอาชาชาติ (เจ้าพระยาคลัง) หรือเฉินอี้ซาน เพื่อสำหรับให้เป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวจีนและคนไทยเชื้อสายจีนในสมัยนั้น ภายในศาลเจ้ากวนอูทางด้านขวามือมีระฆังทองเหลืองใบใหญ่ตั้งอยู่ ที่ผิวระฆังมีอักษรจารึกระบุสร้างขึ้นในสมัยฮ่องเต้เต๋อจงในยุคสมัยราชวงศ์ชิง ซึ่งตรงกับปี พ.ศ. 2435 จึงสันนิษฐานได้ว่าศาลเจ้ากวนอูสร้างขึ้นในระหว่างปีดังกล่าว[41]

[แก้] กวนอูในลัทธิเต๋า
กวนอูได้รับการยกย่องให้เป็น จักรพรรดิเทพกวน (จีนตัวเต็ม: 關聖帝君) และเป็นเทพพิทักษ์ตามความเชื่อของลัทธิเต๋า การบูชากวนอูเริ่มต้นในราชวงศ์ซ่ง ตามตำนานเล่าว่าในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1220 ทะเลสาบน้ำเค็มซึ่งในปัจจุบันคือเซี่ยโจว (จีน: 解州鎮) เริ่มที่จะผลิตเกลือไม่ได้ จักรพรรดิฮุยจงจึงทรงมีรับสั่งให้นักพรตจางจี้เซียน (จีน: 張繼先) ตรวจหาสาเหตุ ซึ่งได้ทรงรับรายงานว่าเป็นฝีมือของชือโหยว (จีน: 蚩尤) เทพแห่งสงคราม นักพรตจึงอัญเชิญกวนอูเข้ามาต่อสู้จนเอาชนะชือโหยวและสามารถผลิตเกลือได้ดังเดิม พระจักรพรรดิจึงทรงพระราชทานนามให้กวนอูว่า ผู้เป็นอมตะแห่งฉงหนิง (จีน: 崇寧真君) และยกกวนอูให้เป็นเทพในเวลาต่อมา

ช่วงต้นราชวงศ์หมิง นักพรตจางเจิ้งฉาง (จีน: 張正常) บันทึกในหนังสือของตนเองในชื่อ ฮั่นเทียนซือซื่อเจีย (จีน: 漢天師世家) เพื่อเป็นการยืนยันตำนานนี้ ทุกวันนี้กวนอูได้รับการนับถือมากในลัทธิเต๋า หลายวัดเต๋าอุทิศเพื่อกวนอูโดยเฉพาะวัดจักรพรรดิกวนในเซี่ยโจวที่ได้รับอิทธิพลเต๋าอย่างมาก ทุกวันที่ 24 เดือน 6 ตามหลักจันทรคติ ซึ่งตรงกับวันเกิดของกวนอู จะมีขบวนแห่เฉลิมฉลองแด่กวนอูอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ

[แก้] กวนอูในพุทธศาสนา
ตามแนวคิดของชาวพุทธในจีน กวนอูได้รับการยกย่องให้เป็น พระสังฆารามโพธิสัตว์ (จีนตัวเต็ม: 伽藍菩薩: แคนำผู่สัก) หมายถึงผู้พิทักษ์ธรรมของชาวพุทธ โดยคำว่า สังฆาราม ในภาษาสันสกฤตหมายถึงสวนชุมชนและหมายถึงวัด ดังนั้น พระสังฆาราม จึงหมายถึงผู้พิทักษ์พระรัตนตรัยนั่นเอง ดังนั้นกวนอูจึงเป็นตัวแทนของเทพผู้พิทักษ์ โดยวัดและสวนที่ตั้งรูปปั้นกวนอูนั้น รูปปั้นของกวนอูมักจะถูกวางไว้ ณ ส่วนไกลด้านซ้ายของพระอุโบสถ คู่กับ พระสกันทโพธิสัตว์ (จีนตัวเต็ม: 韋馱菩薩: อุ่ยท้อผู่สัก)

ตามตำนานชาวพุทธ ในปี พ.ศ. 1135 กวนอูได้ประกาศตนเป็นพุทธมามกะต่อหน้าจื้ออี่ (จีน: 智顗) ผู้ก่อตั้งนิกายสัทธรรมปุณฑริก ว่ากันว่าขณะนั้นจื้ออี่นั่งสมาธิอยู่ที่เขายฺวี่เฉฺวียน (จีน: 玉泉山) และตื่นจากสมาธิเพราะการปรากฏตัวของกวนอู กวนอูขอให้จื้ออี่สอนหลักธรรมให้ตนแล้วปวารณาตนขอรับศีลห้า จึงกลายเป็นที่กล่าวขานกันว่ากวนอูปวารณาตนเป็นผู้พิทักษ์พุทธศาสนาและเป็นผู้ช่วยเหลือจื้ออี่ก่อตั้งวัดยฺวี่เฉฺวียน (จีน: 玉泉寺) จนปรากฏตราบจนทุกวันนี้

ในวรรณกรรมสามก๊ก ฉบับเจ้าพระยาพระคลัง (หน) ได้บรรยายไว้ว่าภายหลังจากที่กวนอูเสียชีวิตได้กลายเป็นอสุรกายที่เต็มไปด้วยความพยาบาทลิบองอยู่ในภูเขา และได้ไปปรากฏร่างต่อหลวงจีนเภาเจ๋ง (จีน: 普淨) บนยอดเขายฺวี่เฉฺวียน เพื่อเรียกร้องให้นำศีรษะตนเองกลับคืนมา จากการเทศนาของหลวงจีนเภาเจ๋งที่กล่าวว่า "กงเกวียนกำเกวียน ตัวฆ่าเขาเขาฆ่าตัว เมื่อท่านฆ่างันเหลียง บุนทิวแลนายด่านห้าตำบลเสีย ใครมาทวงศีรษะแก่ท่านบ้าง ครั้งนี้ท่านเสียทีแก่ข้าศึกถึงแก่ความตายแล้ว ท่านมาร้องทวงศีรษะแก่ใครเล่า"[42] ทำให้กวนอูได้ซาบซึ้งในรสพระธรรมและปวารณาตนเป็นผู้พิทักษ์ศาสนาพุทธ

[แก้] ความนิยมในรูปแบบอื่น ๆ

วันศุกร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โปเซ่งไต่เต่ ประวัติ

พระโป้เซ้งไต่เต่ , ป่าว เซิง ต้า ตี้ ( หงอจินหยิน )

ประวัติ

ป่าว เซิง ต้า ตี้ หรือ พระโป้เซ้งไต่เต่ หรือ ชาวบ้านทั่วไปเรียก หงอจินหยิน หงอจินกุน หรือ ตั่วเต๋ากง ท่านเป็นหมอ ที่มีชื่อเสียง ในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เดิมชื่อ หงอปุ่น บางตำนานเรียกว่า หงอทอ เมื่อร่ำเรียนชื่อว่า ฮั้วกี สมญานาม ฮุ๋นชง บางตำนานเรียก ฮุ๋นตัง ท่านกำเนิดที่หมู่บ้าน ป๋ายเก๋ว อำเภอ ต่งอาน มณฑลฮกเกี้ยน ในสมัยราชวงศ์ซ่งเหนือ ศักราชพระเจ้าซ่งไท้จง ไท้เป๋งเฮงก๊ก ปี 4 พุทธศักราช 1522 วันที่ 15 เดือน 3 จีน จนเมื่อศักราชพระเจ้าซ่งเหรินจง จิ่งโย่วปี 4 พุทธศักราช 1579 วันที่ 2 เดือน 5 จีน ท่านละสังขาร สิริอายุรวม 58 ปี

ต่อ มาสมัยศักราชพระเจ้าหมิงเฉิงจู่ หย่งเล่อปี 17 พุทธศักราช 1962 เมื่อท่านแสดงปาฏิหาริย์ แปลงร่างเป็น นักพรต รักษาบุ๋นฮองเฮาในสมัยนั้นให้ หายขาดจากอาการประชวร ท่านจึงได้รับการสถาปนาเป็น บ่าน สิ้ว บู่ เก็กโป้ เซ้ง ไต่ เต่ ซึ่งมีความหมายถึงจิตวิญญาณอมตะนิรันดร์นั่นเอง

เมื่อ สืบประวัติแล้วพบว่าพระโป้เซ้งไต่เต่โดยชาติกำเนิดของท่าน แท้จริงสืบเผ่าพันธุ์จากกษัตริย์ไท้โปว๋ แห่งราชวงศ์โจว ในยุคสมัยจ้านกว๋อ ยุคนั้นมีการรบพุ่งอยู่ตลอด บรรพบุรุษของท่านได้สร้างที่มั่นอาศัยอยู่ที่แคว้นอู๋ ปัจจุบันคือบริเวณอำเภอเจียงซู จนล่วงรุ่นที่ 31 จึงได้เปลี่ยนจากแซ่เดิมมาเป็นแซ่อู๋ หรือคำฮกเกี้ยนว่า หงอ จวบ จนปัจจุบัน ต่อมาลูกหลานแซ่หงอส่วนหนึ่งอพยพลงมาเรื่อย ส่วนหนึ่งมาตั้งรกรากที่บ้านป๋ายเก๋ว อำเภอต่งอาน เมืองจ่วนจิว มณฑลฮกเกี้ยน โดยประวัติบรรพบุรุษของท่านประกอบสัมมาชีพสุจริต มีคุณธรรมจนเป็นที่ทราบกันดี

บิดาของท่านชื่อ หงอทอง เป็นสุจริตชนอยู่ในศีลธรรม ส่วนมารดาท่านชื่อ อึ๋งหยกฮั้ว ซึ่งเป็นเทพเซียน หยกฮั้วไต่เซียน ได้กลับภพลงมาเกิด นับเป็นสตรีที่มีจิตใจงดงาม ทั้งคู่สามีภรรยาประกอบอาชีพประมงจับปลา อยู่ด้วยกันมานานแต่ก็ไม่มีบุตร จนคืนหนึ่งนางฝันว่านางได้กลืนเต่าสีขาวลงท้อง เมื่อตื่นขึ้นมา นางได้ปรึกษาเพื่อนบ้าน ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า เต่าสีขาวเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่ดี มีสิริมงคล ต่อมาไม่นานนางบังเกิดตั้งครรภ์ ซึ่งเป็นพระโป้เซ้งไต่เต่นั่นเองที่มาจุติในครรภ์ของนาง

สมัย ราชวงศ์ซ่งเหนือ ศักราชพระเจ้าซ่งไท้จง ไท้เป๋งเฮงก๊กปี 4 พุทธศักราช 1522 วันที่ 15 เดือน 3 จีน เมื่อมารดาตั้งครรภ์ครบ 10 เดือน เริ่มมีอาการเจ็บครรภ์นานประมาณ 10 วัน จนเมื่อคืนของวันที่ 14 จึงเจ็บครรภ์คลอด กล่าวว่าท่านคลอดยาก ใช้เวลานานมาก มารดาได้รับความทุกขเวทนา บิดาของท่าน กระสับกระส่าย สอบถามอาการ จากหมอทำคลอดทุกระยะ จนหมอทำคลอดกล่าวว่าอาการเป็นตายเท่าๆกัน

ต่อมามารดาท่านสลบไสลไป จึงปรากฏในฝันว่า มีชายชราผมสีขาวโพลน มีหนวดสีเงิน เรียวคิ้ว และแววตา เต็มไปด้วยความเมตตา กล่าวว่าท่านเป็น ติ๋วซ๊อเต๋าหยิน หรือ ไท้แปะกิมแช มาพร้อมกับ หล่ำเหลงซายเจี่ย และ พระปักเต้าแชกุน ชายชราเหล่านั้นได้ส่งทารกน้อยให้มารดา โดยวางไว้ในกระท่อมภายในบ้านของท่าน และกล่าวว่าเด็กน้อยคนนี้เป็น พระจี๋บี๋แช หรือจีมุ้ยแช ท่านลงมาจุติ เพื่อช่วยเหลือประชาชน ให้หายจาก ทุกข์โศกโรคภัย กำจัดปีศาจที่ทำให้ผู้คนล้มเจ็บ

มารดา ของท่านได้ฟังดังนั้นก็นิ่งอึ้ง สะดุ้งตื่นจากการหลับใหล พลันกำเนิดคลอดบุตรในเวลาเช้าตรู่พอดี เมื่อแสงอาทิตย์ ยามเช้าสาดส่อง แสงสีม่วงอบอวลไปทั่วห้องหับ กลิ่นหอมหวลฟุ้งกำจาย ปรากฏกาย พระโคยแช มาร่วมแสดงความยินดี ท้องฟ้ามีเมฆมงคล 5 สี ชาวบ้านต่างแปลกใจในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ถือเป็นวาระกำเนิด ผู้มีบุญญาธิการ ท่านจึงได้รับขนานนามว่า หงอปุ่น เนื่องจากท่านเป็นกายแปลงกำเนิดของ พระจี๋บี๋แช ภายหลัง มีผู้เรียกท่านว่า จี๋บี๋จินหยิน ด้วยอีกนามหนึ่ง

เนื่องจากท่านเป็น พระจี๋บี๋ แช ถือภพกลับชาติมาเกิด ท่านจึงมีบุคลิกภาพนุ่มลึก สันโดษ มีเหตุผล มีความรอบรู้ฉลาดเฉลียว เมื่อถึงวัยศึกษา ไม่ว่าจะเป็นหนังสือใดๆ เพียงอ่านครั้งเดียว ท่านก็สามารถเข้าใจ และท่องกลับมาได้ครบถ้วน ไม่ว่าเป็นบทกวี ศีลธรรม ภูมิศาสตร์ และกฎแห่งฟ้าดิน ท่านก็รู้กระจ่าง และ มีความมุ่งมั่นใฝ่รู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ

ประวัติ

เมื่อ ศักราชพระเจ้าซ่งไท้จง จื้อต้าวปีแรก พุทธศักราช 1538 ท่านหงอปุ่นอายุได้ 17 ปี ท่านต้องการศึกษา หาวิชาความรู้ จึงเที่ยวเสาะหาบรรดาเหล่าอาจารย์ จนเดินทางมาถึงภูเขา เบ๋งซัว พบวัดเก่าแก่ ท่านได้ฝากตัว เป็นศิษย์วัด เมื่ออยู่ที่นี่ท่านได้มีเวลาฝึกปรือคิดทบทวนวิชาต่างๆ ศึกษาข้อผิดพลาดจากอดีต ท่านเล่นแร่แปรธาตุ จนได้สูตรยาวิเศษ ณ จุดนี้ท่านจึงมีความตั้งใจที่จะช่วยเหลือชาวบ้าน โดยไม่สนใจเงินทอง ลาภยศสักการะ ซึ่งเปรียบเสมือนเมฆลอยที่ผ่านมาแล้วหายไป

ใน ปีเดียวกันนั้น ระหว่างที่ท่านหงอปุ่นกำลังตกปลาอยู่ริมฝั่งชายทะเล ปรากฏมีเรือแจวลำหนึ่งมุ่งตรงมายังตัวท่าน หน้าตาของชายผู้แจวเรือดังกล่าวนั้น ลักษณะไม่คุ้นตา ไม่เหมือนชาวบ้านทั่วไป ชายคนดังกล่าว ได้ร้องเรียกท่าน ด้วยน้ำใสใจจริงให้ไปเที่ยวล่องเรือชม ทิวทัศน์บรรยากาศด้วยกัน ท่านหงอปุ่นไม่รีรอ จึงลงเรือไปด้วย เนื่องจาก มีความตั้งใจที่จะท่องไปในทะเลอยู่แล้ว เรือลำนั้นพาท่านมุ่งหน้าไปยังภูเขาสูงชันทราบภายหลังว่า กุนหลุนซัว แล้วชายแปลกหน้าก็บอกว่า พระซายอ่องโบ้ ทราบว่าท่านกำลังเดินทางเสาะหาอาจารย์ เพื่อร่ำเรียน นำวิชาไปช่วยเหลือชาวบ้าน ชายแปลกหน้ายินดีพาท่านไปหาพระซายอ่องโบ้

ท่าน หงอปุ่นจึงเดินตามชายแปลกหน้าคนดังกล่าว เดินทางขึ้นเขาไปด้วยความยากลำบาก ในที่สุด ก็มาถึง ยอดเขาสูงสุด ปรากฏถ้ำเซียนอยู่เบื้องหน้า ท่านจึงได้พบกับพระซายอ่องโบ้ พระซายอ่องโบ้ กล่าวว่าภพก่อนท่าน และ ท่านหงอปุ่นนั้น มีชะตาลิขิตร่วมกัน ชาตินี้เมื่อพบท่านหงอปุ่นแล้ว ท่านตั้งใจจะสอนวิชาเทพ เพื่อให้ท่านหงอปุ่น นำสิ่งที่ได้เรียนรู้ไปช่วยเหลือชาวบ้านในโลกมนุษย์ ท่านหงอปุ่นร่ำเรียนอยู่บนภูเขากุนหลุนซัวอยู่ 7 วัน 7 คืน จนสำเร็จวิชาจับปราบปีศาจ และพระซายอ่องโบ้ยังมอบตำรายารักษาผู้ป่วยให้กับท่านหงอปุ่น กำชับให้ท่านหงอปุ่น หมั่นศึกษาร่ำเรียนวิชา ให้ก้าวหน้า อย่าให้เสียเวลาจะทำให้ชาวบ้านต้องผิดหวัง

สมัย ซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเจินจง เสียนผิงปีแรก พุทธศักราช 1541 ท่านหงอปุ่นอายุ 20 ปี ท่านเริ่มเข้ารับราชการ จนเมื่อท่านอายุ 24 ปี จึงได้รับการคัดเลือกให้ดำรงตำแหน่งฝ่ายสอนประวัติศาสตร์ราชวงศ์ ดำรงตำแหน่ง อยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง ท่านค้นพบว่างานลักษณะดังกล่าวไม่เหมาะสมกับท่าน เพราะท่านต้องการ รักษาไข้ ช่วยเหลือชาวบ้านทั่วไปมากกว่า ท่านจึงลาออกจากราชการ แล้วกลับมาปลีกวิเวกอยู่ที่บ้านเกิดของท่าน บนภูเขา ป๋ายเก๋วซัว หรือที่เรียกว่า บุ่นผ่อซัว สถานที่ที่ท่านพำนักเรียก เหล่งตี๋อ๋ำ ณ ที่นี่ท่านได้ค้นพบสูตรวิเศษ

สมัย ซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเจินจง ไต้จงเสียงฝู่ปีแรก พุทธศักราช 1551 เมื่อท่านหงอปุ่นอายุ 30 ปี ท่านได้ประดิษฐ์ เตาไฟสำหรับปรุงยา ซึ่งปัจจุบันยังคงปรากฏ และมีแผ่นศิลาจารึกคำไว้ ด้านข้างมีบ่อน้ำพุศักดิ๋สิทธิ์ เครื่องไม้เครื่องมือ เช่น ครกบดยา ท่านช่วยเหลือรักษาคนไข้ ณ สถานที่แห่งนั้น โดยท่านปรุงยา จ่ายยา และบางครั้ง ต้องใช้ยันต์ เพื่อขับไล่ภูติผีปีศาจ คุณความดีและความศักดิ์สิทธิ์ของท่านกล่าวว่าก้องไปทั่วทั้งสามโลก ภูติผีปีศาจ ล้วนยำเกรงในตัวท่าน แต่กระนั้นก็ตามท่านก็ยังคงศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมอยู่เสมอ จนวิชาการ และ ความสามารถของท่าน ก้าวรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว

ตาม หมายเหตุบันทึกกล่าวว่า สมัยซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเจินจง ไต้จงเสียงฝู่ปี 7 พุทธศักราช 1557 เมื่อท่านหงอปุ่นอายุ 36 ปี ในระหว่างการเดินทางขึ้นเขา เพื่อเก็บตัวยาสมุนไพรนั้น บังเอิญสังเกตุเห็นกองกระดูกกองหนึ่ง เมื่อนำมา วางเรียง เป็นรูปร่างมนุษย์แล้ว ปรากฏว่าไม่ครบ โดยขาดกระดูกท่อนขาซ้าย ท่านจึงใช้กิ่งของต้นหลิวมาทดแทน วาดยันต์ร่ายมนตร์ กระดูกกองนั้นจึงกลับกลายเป็นเด็กน้อย เด็กน้อยร้องไห้ฟูมฟาย ร้องเรียกหาเจ้านาย ท่านหงอปุ่น จึงไต่ถาม จึงทราบความว่าเจ้านายของเด็กน้อยคนนี้ชื่อ กังตีเฮี๋ยน หรือเรียกว่า กังเซียนกวน

เมื่อ ท่านหงอปุ่นพาเด็กน้อยเข้าเมืองไปพบเจ้านายคนดังกล่าว เจ้านายก็แปลกใจและไม่เชื่อสายตา เพราะ เด็กน้อยผู้นี้ โดนเสือกัดตายแล้ว จะมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าได้อย่างไร จึงคลางแคลงใจ ได้ท้าทาย ท่านหงอปุ่นว่า ถ้าท่านหงอปุ่นมีวิชาทำให้คนตายกลับฟื้นได้จริง ท่านจงลองกลับทำให้เด็กน้อย กลายเป็นกองกระดูก อีกครา ได้หรือไม่ ท่านหงอปุ่นพยักหน้าแล้วก็ทำตามคำ ร่างของเด็กน้อยจึงกลับกลายเป็นกองกระดูกอีกครา

กังเซียนกวนเมื่อประจักษ์ด้วยสายตาตนเองแล้ว จึงร้องขอให้ท่านหงอปุ่นรับตนเองไว้เป็นศิษย์ โดยพร้อม จะร่วมเดินทางไปกับท่านหงอปุ่นทั่วทุกหนแห่ง ซ้ำยังขอให้ท่านร่ายมนตร์อีกครั้ง เพื่อให้กองกระดูกนั้น กลับกลายเป็นเด็กน้อยส่งสารอีกคราวหนึ่ง เมื่อกลับมายังศาลาว่าการเมือง จึงนำความดังกล่า วมาเล่า ให้ผู้ใหญ่คนหนึ่งฟัง ท่านชื่อ เตียวเซ่งเจี่ย เมื่อได้ฟังดังนั้น ท่านทั้งสองจึงตกลงใจสละลาภยศ ลาออก จากราชการ แล้วเดินทางมายังบ้านป๋ายเก๋ว ท่านหงอปุ่นจึงรับทั้งสองไว้เป็นศิษย์ อาศัยอยู่ในกระท่อม สั่งสอนวิชาต่างๆให้ทั้งสอง ทั้งสองจึงเรียกท่านหงอปุ่นว่า ไต่ซือ

ในระยะเวลาต่อมา ฝีมือทางด้านการรักษาของท่านหงอปุ่นเจริญงรุดหน้าไปมาก จนชาวบ้าน กล่าวว่า ไม่ว่า โรคภัยใดๆ จะรุนแรง เรื้อรัง แปลกประหลาด ยากต่อการรักษาเพียงใด เมื่อได้พบท่านหงอปุ่น ท่านก็ สามารถ รักษาให้ หายขาดได้ ดังนั้นทุกๆ วันจะมีชาวบ้านใกล้ไกลต่างเดินทางมารับการรักษากับท่านเป็น จำนวนมาก ซึ่งท่านก็รักษา ให้ด้วยจิตใจ ที่มากล้นด้วยคุณธรรม จนมีผู้กล่าวว่าท่านเป็น หมอฮูโต๋ กลับภพมาเกิด

http://www.phuketvariety.com/buddhism/po-seang-tai-tae/index-01.htm
ประวัติ

สมัย ซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเหรินจง เทียนเสิ้งปี 8 พุทธศักราช 1573 ท่านหงอปุ่นอายุ 52 ปี ขณะที่ท่านเดินทาง ท่านพบวัยรุ่น ถูกโจรลักทรัพย์ ศีรษะโดนของมีคมฟาดฟันบริเวณกะโหลก นอนสลบไม่ได้สติ อาการหนักปางตาย ท่านหงอปุ่นไม่รอช้า แบกชายผู้บาดเจ็บนั้นขึ้นหลัง แบกกลับมารักษาพยาบาลที่บ้านของท่าน จนหายรอดปลอดภัย ชาวบ้านยิ่งร่ำลือประจักษ์ในความสามารถของท่าน

ปกติ ท่านหงอปุ่นมักเดินทางไปยังสถานที่ต่างๆ เพื่อไปรักษาช่วยเหลือชาวบ้านผู้เดือดร้อนจากโรคภัยไข้เจ็บ ครั้งหนึ่งเมื่อท่านเดินทางเข้าเมืองหลวง เห็นประกาศของทางราชการ หาหมอผู้มีฝีมือ เพื่อรักษา ไทเฮา หรือ พระราชชชนนี ซึ่งป่วยด้วยโรคเรื้อรังบริเวณพระถันย์หรือเต้านม อันหมดปัญญาความสามารถ ของคณะแพทย์หลวง ผู้ดูแลรักษา ท่านจึงกล่าวว่าท่านรักษาได้ เมื่อท่านเข้าไปภายในพระราชวัง รับทราบอาการป่วยเบื้องต้นแล้ว ท่านจึงตรวจตราชีพจรโดยภายนอกห้องบรรทม

ท่าน รักษาพระราชชนนีด้วยการฝังเข็มบริเวณแผ่นหลัง และให้ยารับประทาน พระราชชนนีมีอาการดีขึ้น จนหายเป็นปกติ เป็นที่พอพระราชหฤทัยของพระเจ้าซ่งเหรินจงมาก จึงได้มอบตำแหน่งหมอหลวง หงื่อสื่อไท้อี มุ่งหวัง ให้ท่านทำงานรับใช้พระองค์ในวัง ท่านหงอปุ่นตอบปฏิเสธ โดยกล่าวว่าลาภยศสักการะ ทรัพย์สินเงินทอง ท่านไม่ต้องการ ขอเพียงแต่ได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ ท่านก็เพียงพอ ไม่ต้องการสิ่งใดอีก แล้วท่านก็อำลาจาก กลับมาพำนักบ้านป๋ายเก๋วอีกครั้งหนึ่ง

สมัย ซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเหรินจง หมิงเต้าปีแรก พุทธศักราช 1575 เมื่อท่านหงอปุ่นอายุ 54 ปี ครั้งนั้น ท้องที่ เมืองจ่วนจิว และเจี่ยงจิวประสบภัยแล้ง ข้าวในท้องทุ่งล้วนแห้งเฉาตายจนหมด ชาวบ้านประสบความอดอยาก ยากลำบาก ไร้ที่พึ่งพิง ท่านหงอปุ่นทำนายว่าอีกไม่เกิน 10 วันจะมีเรือลำใหญ่บรรทุกข้าวสารมาถึงในเมือง และปรากฏเป็นจริงดังทำนาย ชาวบ้านจึงมีข้าวปลาอาหาร ล้วนไม่อดตาย ทุกคนยินดีปรีดาทั่วหน้า

สมัย ซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเหรินจง หมิงเต้าปี 2 พุทธศักราช 1576 เมื่อท่านหงอปุ่นอายุ 55 ปี ท้องที่เมืองจ่วนจิว และเจี่ยงจิว ประสบภัยโรคร้ายระบาดหนัก ชาวบ้านล้มตายเป็นใบไม้ร่วง ท่านหงอปุ่นพร้อมด้วยศิษย์ท่านทั้งสองคือ กังเซียนกวน และ เตียวเซ่งเจี่ยได้ระดมสรรพกำลังช่วยเหลือรักษาชาวบ้านอย่าง เต็มที่ ไม่ลดละ และไม่เหน็ดเหนื่อย ย่อท้อ ในช่วงนั้นกล่าวว่าท่านช่วยเหลือชาวบ้านได้อย่างมากมายนับไม่ถ้วน

เมื่อ ครั้งท่านหงอปุ่นกลับมายังบ้านป๋ายเก๋ว ท่านเตรียมขึ้นเขาบุ่นผ่อซัวไปขุดหาสมุนไพร มีชาวบ้านบอกข่าวว่า มีผู้พบเห็น เสือหิวอยู่บนภูเขา ขอให้ท่านได้อย่าขึ้นไป แต่ท่านไม่กลัวและไม่ย่อท้อ เมื่อท่านขึ้นเขา ไปขุดหาสมุนไพร เสร็จแล้ว ขณะที่ท่านลงจากภูเขา ท่านเจอเสือตัวใหญ่อยู่ที่บริเวณผาหิน คำรามร้อง แววตาดุร้าย ในขณะที่ เสืออ้าปากร้อง ท่านหงอปุ่นสังเกตุเห็นศีรษะมนุษย์ติดอยู่ในลำคอของเสือ ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้กับเสือมาก ท่านหงอปุ่น จึงใช้ยาละลายกระดูก เสือตัวนั้นหายเจ็บปวดและซาบซึ้งในพระคุณ จึงเชื่อฟังท่าน เสือตัวนี้ติดตามท่าน ไปยัง เหล่งตี๋อ๋ำ อยู่กับท่าน ต่อมาเมื่อท่านหงอปุ่นสำเร็จเซียน เสือตัวนี้ก็ขึ้นไปบริเวณริมหน้าผา ไม่กินอาหาร และขยับตัว ละสังขารสำเร็จเซียนตามไปด้วย กลายเป็น หอเอี๋ย หรือ เฮ็กห่อเจียงกุน เฝ้าประตูศาลของท่าน

ด้วยความที่ท่านมีกิตติศัพท์ร่ำลือในความสามารถ รักษาทุกโรคให้หายขาดได้ ได้รับขนานนามหมอเทวดา จนเป็นที่เลื่องลือทั้งสามโลก ครั้งหนึ่งมังกรตัวหนึ่งเกิดมีโรคทางสายตา เจ็บปวดตา ได้แปลงกาย เป็นชายชรา มาให้ท่านรักษา เมื่อท่านหงอปุ่นเห็นชายชราก็ทราบโดยทันทีว่าไม่ใช่มนุษย์ หากแต่เป็นมังกร ท่านก็ให้การรักษา โดยจัดยาให้มังกรดื่มกิน ความเจ็บปวดทางตาของมังกรตัวนั้นก็หายเป็นปลิดทิ้ง มังกรซาบซึ้ง ในพระคุณท่านมาก ต่อมาจึงยอมเป็นเก้าอี้มังกรประจำตัวท่านหงอปุ่น

สมัย ซ่งเหนือ พระเจ้าซ่งเหรินจง จิ่งโย่วปี 3 พุทธศักราช ปี 1579 เมื่อท่านหงอปุ่นอายุได้ 58 ปี ท่านได้เดินทาง ขึ้นเขาบุ่นผ่อซัว เพื่อขึ้นไปเก็บสมุนไพรชื่อ กิมปุดหวน การเดินทางเต็มไปด้วยอันตราย ท่านได้ประสบอุบัติเหตุตกเขา ท่านได้รับบาดเจ็บ แต่ท่านไม่ได้ใช้วิชาของท่านเพื่อรักษาตนเอง ชาวบ้านผู้ประสบเหตุ จึงแบกท่านนำกลับ มาส่งที่บ้านป๋ายเก๋ว

ท่านประชุมลูกศิษย์และเครือญาติ กล่าวอำลาฝากฝังบิดาของท่าน หงอทอง มารดาของท่าน อึ๋งหยกฮั้ว น้องสาวของท่าน หงอเบ๋งหม่า น้องเขยของท่าน อ๋องเซี๊ยหยิน ศิษย์ของท่านทั้งสอง กังเซียนกวน และ เตียวเซ่งเจี่ย พร้อมชาวบ้าน เมื่อท่านกล่าวเสร็จ ท่านละสังขาร กล่าวว่าท่านขึ้นขี่นกกระสาสีขาวบินลับหายไปในท้องฟ้า สำเร็จธรรมเต๋า กำเนิดเซียน ทุกคนต่างซาบซึ้งสดุดีท่าน ท่านสำเร็จธรรมเต๋าเมื่อวันที่ 2 เดือน 5 จีนช่วงเวลากลางวัน

หลังจาก ท่านได้ลาลับจากโลกนี้ไปแล้ว ผู้คนต่างร่ำลือถึงคุณความดีของท่าน ต่างอำลาอาลัย เปรียบประหนึ่ง ญาติผู้ใหญ่ ในตระกูลของตนล้มหายตายจาก ชาวบ้านเรียกท่านว่า อีเหลงจินหยิน หงอจินหยิน ชาวบ้าน ร่วมกันสร้างศาลแรก สร้างรูปเคารพของท่านสถิตย์ไว้ เรียก เหล่งจิวอาม กล่าวว่าดวงวิญญาณ ของท่านยังปกปัก รักษาเมือง คุ้มครองชาวบ้านให้แคล้วคลาดจากโรคภัย ในสมัยซ่งล่วงถึง สมัยหมิง ต่างวาระ ได้แต่งตั้งยศ เชิดชูท่านหลายครั้ง เช่น เองหุ้ยโห เจียอิ้วกง ตั่วเต๋าจินหยิน เบ่วเต๋าจินกุน โป้เซ้งไต่เต่ เป็นต้น

กล่าวว่าดวงวิญญาณของท่านศักดิ์สิทธิ์ สามารถคุ้มครองเป็นที่พึ่งพิงของชาวบ้านได้เสมอ ครั้งหนึ่งมีกลุ่มโจร มาปล้นสดมภ์ภายในหมู่บ้าน ชาวบ้านต่างหวาดกลัวไม่มีที่พึ่งพิง จึงจุดธูปบอกกล่าวท่าน อีกไม่กี่วัน ทางราชการ ก็ส่งกองกำลังเข้ามาปราบปราม จับหัวหน้าโจรประหารชีวิต ลูกน้องจึงแตกกระสานซ่านเซ็น ชาวบ้าน จึงอยู่ดีมีสุขอีกครั้งหนึ่ง ชาวบ้านต่างเชื่อว่าเป็นด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของท่านนั่นเอง

http://www.phuketvariety.com/buddhism/po-seang-tai-tae/index-02.htm
ประวัติ

สมัยซ่งใต้ พระเจ้าซ่งกาวจง ในสมัยที่ยังเป็น ไท้จือกังอ๋อง นั้น กองทัพซ่งประสบความพ่ายแพ้ต่อกองทัพกิมก๊ก ท่านไท้จือกังอ๋องจึงถูกเชิญตัวมาเป็นตัวประกันที่เมืองกิม วันหนึ่งท่านคิดหลบหนีกลับ แต่ท่าน ไม่มีกองกำลังทหาร อยู่ในมือเลย ท่านแวะไปที่ศาลแห่งหนึ่งบอกกล่าวกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จึงประทานม้าควบมาให้

เมื่อ ท่านควบม้าถึงแม่น้ำ ปรากฏกองทัพกิมก๊กตามมาทัน ท่านจึงบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งหนึ่ง พลันปรากฏ เมฆครึ้มหมอกควันปกคลุม กองทัพทหารม้าไม่ทราบมาจากแหล่งใด ออกมาต้านทานขับไล่กองกำลังทหารกิมก๊ก ท่านเห็นธงประจำกองทัพนามว่า หงอจินหยิน ท่านจึงรอดพ้นจากกองทัพกิมก๊ก และสามารถกลับมา ตั้งหลักสร้างบ้านสร้างเมือง จากนั้นท่านจึงสืบค้นว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวที่ช่วยเหลือและคุ้มครอง ท่านคือใคร อยู่แห่งหนใด จนมาพบว่าเป็นพระหงอจินหยินแห่งบ้านป๋ายเก๋วนั่นเอง

สมัยซ่งใต้ พระเจ้าซ่งหนิงจง คายสี่ปี 3 พุทธศักราช 1750 บ้านเมืองประสบภัยแล้ง ชาวเมืองจ่วนจิวจึงรวมตัวกันที่ศาล ฉือแจ่เก๋ง เพื่อขอให้ท่านช่วยเหลือให้เกิดฝนตก หลังจากนั้นจึงบังเกิดฝนตกใหญ่ ชาวบ้านร่ำลือถึงความศักด์สิทธิ์ จนทราบถึงพระเจ้าซ่งหนิงจง ได้ประกาศยศให้ท่านเป็น เองหุ้ยโห

สมัยหมิง พระเจ้าหมิงเฉิงจู่ หย่งเล่อปี 17 พุทธศักราช 1962 บุ๋นฮองเฮา ประสบ ความเจ็บป่วย ด้วยโรคพระถันย์ หรือเต้านม ไม่มีหมอหลวงผู้ใดรักษาให้หายได้ ในคราวนั้นท่านแปลงกายเป็นเต๋าซือ มารักษาฮองเฮา พระเจ้าหมิงเฉิงจู่ คลางแคลงใจ ต้องการทดสอบว่าท่านสามารถหรือไม่ โดยนำเส้นไหม แตะชีพจร สำหรับวินิจฉัยนอกห้องบรรทม ไปวางบนหัวเตียง ไม้ไผ่ กำไล และขาแมว ท่านหงอปุ่น บอกได้ถูกหมด ว่าไม่ใช่ชีพจรมนุษย์ จนพระองค์ยอมรับ และอนุญาตให้รักษาบุ๋นฮองเฮา โดยใช้เวลารักษาทั้งสิ้น 3 วัน บุ๋นฮองเฮาจึงหายประชวร

พระเจ้าหมิงเฉิงจู่ซาบซึ้งความสามารถ จึงยกทรัพย์สินเงินทองให้ แต่ท่านไม่รับ กล่าวบอกให้ทราบว่า ท่านเป็นหงอจินหยิน พระเจ้าหมิงเฉิงจู่จึงพระราชทานหมวก ชิดแช และถอดเสื้อมังกร พร้อมเข็มขัด ของกษัตริย์พระราชทาน แล้วท่านก็ขึ้นนกกระสาขาวบินขึ้นลับขอบฟ้าไป พระเจ้าหมิงเฉิงจู่ ซาบซึ้งใน คุณความดีของท่านมาก ภายหลังจึงแต่งตั้งยศท่านเป็น อุนจู่โหเทียนอีเหล็งเบ่วหุ้ยจินกุน บ่านสิ้วบู่เก็กโป้เซ้งไต่เต่ ซึ่งเป็นที่มาของคำย่อ พระโป้เซ้งไต่เต่ คำ ไทยคือมหาราชผู้คุ้มครองชีวิต มาตราบจนปัจจุบัน และบุ๋นฮองเฮา ยังได้ให้ช่างแกะสลักหินเป็นรูปสิงโต ให้ประจำไว้ที่ศาลฉือแจ่เหล่งเก๋งที่บ้านป๋ายเก๋ว ชาวบ้านเรียกสิงโตตัวนี้ว่าว่า ก๊กโบ่ซือ

สมัยหมิง พระเจ้าหมิงเหรินจง หงซีปีแรก พุทธศักราช 1968 ท่านได้รับการแต่งตั้งยศเป็น อุนจู่โหเทียนกิมก๊วดหงื่อสื่อ ฉือแจ่อีเหล็งเบ่วหุ้ยจินกุน บ่านสิ้วบู่เก็กโป้เซ้งไต่เต่ พร้อมมอบเสื้อคลุมมังกรให้กับท่านที่ศาลบ้านป๋ายเก๋วอีกด้วย

นอก จากหมวกชิดแชที่ท่านได้รับพระราชทานนั้น ยังมีตำนานเล่าขานในท้องถิ่นว่า เดิมท่านมีดาบชิดแชเกี่ยมด้วย ภายหลัง พระเฮี่ยนเทียนส่งเต่ ได้ขอยืมไป โดยนำ 36 ขุนพลมาไว้กับท่านเป็นข้อแลกเปลี่ยน ต่อมา ไม่ได้คืนดาบชิดแชเกี่ยมกลับมา ทั้ง 36 ขุนพลจึงยังคงอยู่กับท่านตลอดมา ดังนี้เป็นเพียงตำนาน ความเชื่อของชาวบ้านซึ่งไม่มีข้อพิสูจน์

สำหรับ 36 ขุนพล มีรายนามดังต่อไปนี้

อุนหง่วนโซย กังหง่วนโซย หงักหง่วนโซย เตี่ยวหง่วนโซย อุนหง่วนโซย หม่าหง่วนโซย (แบ่เหล็งเก๋ง) เต็งหง่วนโซย ซินหง่วนโซย อ๋องซุนหง่วนโซย โกหง่วนโซย หลี่หง่วนโซย กี๋จุ่ยจินหยิน เหลียนเซ่งเจี่ย เซียวเซ่งเจี่ย เตียวเซ่งเจี่ย ชกไต่เจียง หลา (บัก) ไต่เจียง หลิว (กา) ไต่เจียง โส่ไต่เจียง ค๊วนเซียนกอ โหเซียนกอ หลี่เซียนกอ กี่เซียนกอ (กล่าวว่าเป็นบุตรสาว 4 ท่าน) ทุนเจ็งไต่เจียง เจี่ยะกุ่ยไต่เจียง กังเซียนกวน อึ๋งเซียนกวน หง่อเหล็งเกง หงอไต่เจียง กิมเซียะหยิน ตึ๋งเซียะหยิน อี๋ซัวไต่เจียง โต๊ห่ายไต่เจียง แบ่กะโล๋ ห่อกะโล๋

สำคัญมี 2 ท่าน คือ กังเซียนกวน และ เตียวเซ่งเจี่ย ซึ่งเป็นศิษย์ท่านทั้งสองนั่นเอง สำหรับท่านเตียวเซ่งเจี่ย เมื่อได้สำเร็จเซียนแล้ว มีนามว่า โปยเทียนไต่เซ่ง โดยศาลที่บูชาท่านเป็นการเฉพาะเรียก หยกจินฮวดอี้ ส่วนบิดาของท่านหรือหงอทอง ปรากฏนามต่อมาว่า เฮียบเส็งหง่วนกุน

หมายเหตุ ในบางตำนานรายชื่อทั้ง 36 ขุนพลอาจต่างออกไป เนื่องจาก มีการเพิ่มเติมขุนพลบางท่าน จากพงศาวดารห้องสิน

ยังมีตำนานชาวบ้านระหว่างท่านตั่วเต๋ากงกับพระม๋าจ้อโป๋ว่า เมื่อครั้งต้องลงมายังโลกมนุษย์เพื่อช่วยเหลือชาวบ้าน ทำให้ท่านทั้งสองต้องเจอกันบ่อยๆ จึงเกิดการเขม่นประลองกำลังกันอยู่บ่อยครั้ง จนเทพเบื้องบนต้องลงมาหย่าศึก แต่กระนั้นก็ตาม ยังคงมีปรากฏการณ์แสดงอิทธิฤทธิ์ กลั่นแกล้งกันไปมา ทุกวันคล้ายวันเกิดของท่านตั่วเต๋ากงในวันที่ 15 เดือน 3 จีน พระม๋าจ้อโป๋แสดงอิทธิฤทธิ์ให้มีลมพายุพัด กล่าวว่าให้หมวกชิดแชของท่านตั่วเต๋ากงเปิดปลิว

เช่น เดียวกัน ทุกวันคล้ายวันเกิดของพระม๋าจ้อโป๋ ในวันที่ 23 เดือน 3 จีน ท่านตั่วเต๋ากงก็บันดาลให้เกิดฝนตก กล่าวว่าให้ล้างเครื่องประทินโฉมบนใบหน้าของพระม๋าจ้อโป๋ให้เกลี้ยงเช่น เดียวกัน แต่ก็มีตำนานในทางกลับกันว่า เป็นเพราะพระม๋าจ้อโป๋ไม่รับคำสู่ขอจากท่านตั่วเต๋ากง ท่านตั่วเต๋ากงจึงกลั่นแกล้ง แล้วพระม๋าจ้อโป๋จึงเอาคืนบ้าง เหล่านี้เป็นเพียงตำนานท้องถิ่นที่เกิดจากชาวบ้านสังเกตุปรากฏการณ์ธรรมชาติ จนมีผู้กล่าวคำว่า ตั่วเต๋ากงกั้ว ม๋าจ้อโป๋ห่อ

ใน ช่วงปลายราชวงศ์ซ่งเหนือ หลังจากท่านหงอปุ่นสำเร็จเต๋าขึ้นสวรรค์นั้น ชาวบ้านต่างอาลัยและซาบซึ้งในความดี จึงร่วมกันสร้างศาลที่บ้านเกิดของท่าน เรียก เหล่งจิวอาม สร้างรูปเคารพบูชาท่าน ต่อมาในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ พระเจ้าซ่งกาวจง จ้าวซิ่งปี 20 พุทธศักราช 1693 จึงได้ปฏิสังขรณ์ศาลดังกล่าว สร้างเป็นศาลคล้ายพระราชวังเรียก ฉือแจ่เหล่งเก๋ง มาจนปัจจุบัน ต่อมาชาวบ้านทั่วทุกมณฑล ตั้งแต่แม่น้ำฮวงโห ลงมาถึงเมืองกวางตุ้ง และกวางสี ต่างสร้างศาล เพื่อสักการบูชาท่านจนทั่ว

http://www.phuketvariety.com/buddhism/po-seang-tai-tae/index-03.htm